“นายกฯอิ๊งค์” กวักมือเรียก “เสี่ยหนู” สยบรอยร้าว ร่วมเฟรมแถลงผลประชุมครม.ชื่นมื่น ย้ำ รบ.ต้องเคลียร์กันเอง ไม่ใช่เฉพาะ “พท.-ภท.” ด้าน  “อนุทิน” บอก ไม่กล้ามีเรื่องด้วย ยันขัดแย้งเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวรัฐบาล ไม่สนอีแอบจ้องทำร้าย ชี้ไม่ได้เป็นคนปล่อยข่าว “เฉลิมชัย” ชี้“เพื่อไทย”งัดข้อ “ภูมิใจไทย” ไม่กระทบพรรคร่วมฯ ยัน ใครผิดหรือถูกให้ว่าไปตามข้อเท็จจริง ไม่ต้องเลือกข้าง เพราะอยู่ข้างเดียวกันอยู่แล้ว พร้อมปัดยุบสภา “วราวุธ” ลั่นเหนื่อยเลือกตั้งใหม่ ยันทุกพรรคไม่มีใครอยากยุบสภา  ส่วน“ทวี” หวั่นความปลอดภัยพยาน รู้เห็นคดีฮั้วเลือกตั้ง สว. ยันไม่มี “ล็อบบี้โหวต” ดันเป็นคดีพิเศษ “ปกรณ์วุฒิ” เหน็บกกต.ทำงานแบบนี้ใช้ Ai แทนดีกว่า ลั่นไม่ร่วมรัฐบาลชุดนี้ ยันเปลี่ยนขั้วอำนาจพร้อมเลือกตั้งใหม่ “ศาลรธน.”นัดชี้ชะตา “สมชาย เล่งหลัก" พ้น สว.หรือไม่ 26 มี.ค.หลังต้องคำพิพากษาศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิ์ 10 ปี

 

ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 25 ก.พ.68 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐ มนตรี(ครม.)โดยก่อนการประชุม ผู้สื่อข่าวถามว่า วงรับประทานอาหารกับพรรคร่วมรัฐบาลจะมีอะไรพิเศษหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า พิเศษทุกวัน

เมื่อถามว่าจะต้องเคลียร์ใจอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ไม่มีค่ะ ไม่ต้องเคลียร์ค่ะ” เมื่อถามว่าหลังคุยกันจะมีการเปิดเผยต่อสื่อมวลชนหรือไม่ นายกฯถามกลับว่า “ให้เปิดไหมค่ะ”ผู้สื่อข่าวจึงกล่าวตอบว่า ต้องเปิดเพราะเป็นคนของประชาชน นายกฯ จึงกล่าวว่า “ได้ค่ะๆ”

 น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยนายกฯเดินนำหน้าลงมาพร้อมรองนายกฯ และรัฐมนตรี ด้วยท่าทีผ่อนคลาย และหัวเราะกันอย่างเป็นกันเอง ซึ่งในช่วงเดินเข้าโพเดียมแถลงข่าว นายกฯ ได้กวักมือให้นายทนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ที่เดินอยู่ข้างหลังให้ตามมาพร้อมระบุว่า “รีบกวักมือเชิญท่านอนุทินเลยนะคะ เดี๋ยวเขาจะว่าเรารอยร้าว”  ก่อนที่นายอนุทิน ที่ยืนอยู่ข้างนายกฯ จะหันไปดึงนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรและสหกรณ์  ที่ยืนอยู่ห่างออกไปให้มายืนข้างๆ  โดยจังหวะนี้นางนฤมลพูดว่า “อ๋อไม่ร้าว มาจับมือ” พร้อมยื่นมือไปจับกับนายอนุทิน  ซึ่งนายกฯ ได้กระเซ้าไปว่า “นี่ร้าวด้วยหรอค่ะ”  จึงทำให้นายอนุทิน  ตอบไปว่า “แตกเลย” ซึ่งนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม ที่ยืนอยู่ด้านข้างนายกฯ พูดขึ้นว่า “นี่อะไรไว้ใจไม่ได้เลย“ จึงทำให้บรรดารองนายกฯ และรัฐมนตรีที่ยืนอยู่ด้านหลังนายกฯ ต่างพากันหัวเราะ

จากนั้นน.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์กรณีกวักมือเรียกนายอนุทินเพื่อสยบรอยร้าว แต่ทำไมถึงมีเรื่องแบบนี้ออกมาบ่อยๆ ว่า ”ก็นั่นสิคะ ข่าวเยอะเลย“ เมื่อกี้เลยเชิญท่าน รองนายกฯ บอกว่าให้รีบเดินมาด้วยกัน เพราะเดี๋ยวจะโดนบอกว่าเป็นรอยร้าว ไม่อยากให้ข่าวลือไปเรื่อย ความจริงตนเวลานอกรอบไม่ได้ทำงานก็หยอกล่อเล่นกับท่านรองนายกฯ อยู่แล้ว รวมถึงคนอื่นๆ และรองนายกฯในพรรคเพื่อไทยเอง หลังกล้องเล่นกันหยอกกันคลายเครียดบ้าง

เมื่อถามว่า เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ได้พูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯหรือไม่ทถึงกรณีมีกระแสข่าวที่นัดพูดคุยกับ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทยมาได้อย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ไม่ได้คุย เพราะท่านไม่ได้นัดไว้ เลยไม่ได้มีการไปเจอกัน

เมื่อถามอีกว่า ข่าวลักษณะนี้ออกมาบ่อย ได้วิเคราะห์หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ย้อนถามว่า นักข่าวเอาข่าวมาจากไหน สื่อจึงตอบกลับไปว่า ไม่มีมูลหมาไม่อึ  ด้านน.ส.แพทองธาร จึงตอบกลับมาว่า ”แน่ะ ไม่มีมูล สุนัขไม่…“ จริงๆต้องขอบคุณสื่อมวลชน ได้พูดกับท่านรอง เป็นความคิดที่ดีนัดพูดคุยกันก็ดี ได้เคลียร์กันได้พูดในรายละเอียดว่าอะไรเป็นอะไร เย็นนี้จะได้พูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ไม่ใช่เฉพาะกับพรรคภูมิใจไทย มีพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆที่ต้องเคลียร์กันหลายเรื่อง เพราะจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว คงพูดคุยกันว่าใครจะตอบเรื่องอะไร ต้องนัดกันนอกรอบแบบไม่ให้สื่อรู้

เมื่อถามถึง ความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้เป็นอย่างไร น.ส.แพทองธาร ย้อนถามสื่อว่า “ให้สื่อให้คะแนน” ก่อนกล่าวว่า ไม่มีอะไรค่ะ อย่างในพรรคเอง 100% ยังไม่เห็นด้วยกัน อย่างพรรคร่วมไม่เห็นด้วยกัน 100% เป็นเรื่องธรรมดา และมีเรื่องที่ไม่เห็นด้วยกันจริงๆ ไม่ได้ไม่มี ไม่ได้บอกว่าทุกเรื่องเห็นด้วย แต่ต้องคุยกัน บางเรื่องคุยกันแบบลับก็ได้ผลที่ดีกว่า ทำงานได้ราบรื่นกว่า แต่ละรัฐบาล แต่ละนายกฯ แต่รัฐมนตรี และรองนายกฯ มีวิธีจัดการปัญหาไม่เหมือนกัน การพูดคุยกันเป็นสิ่งจำเป็นต้องหาเวลาพูดกันมากขึ้นเพื่อเข้าใจกันมากขึ้น

เมื่อถามต่อว่า ตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เชื่อมมาถึงการสอบฮั่ว สว. ทำให้ถูกตีความว่ามีรอยร้าวระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย น.ส.แพทองธาร หันไปถามนายอนุทินว่า “ท่านรองมีรอยร้าวกับดิฉันไหมคะ” นายอนุทิน จึงตอบว่า “ไม่กล้ามีด้วยซ้ำ” ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะกล่าวว่า “มันมีเรื่องที่เห็นต่างกันจริง จึงบอกว่าต้องคุยกัน ถ้าเห็นต่างแล้วไม่คุยกันนั่นแหละรอยร้าว ถ้าคิดไม่เหมือนกัน แล้วหันหลังให้กันนั้นคือรอยร้าว แต่อันนี้ถ้ายังเปิดใจคุยกันอยู่ไม่ใช่รอยร้าว คนในครอบครัวยังทะเลาะกันได้ เราเป็นคนทำงานด้วยกัน การเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราเห็นไม่ปกติก็จะไม่ปกติ

เมื่อถามอีกว่า การขัดแข้งขัดขากันจะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เรายังเดินหน้าแน่นอน เราไม่ได้ขัดแข้งขัดขากัน เป็นเรื่องที่เราเห็นไม่ตรงกันมากกว่า ไม่ใช่เรื่องที่ขัดขากัน

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยจะอยู่ร่วมกับพรรคภูมิใจไทยจนจบสิ้นรัฐบาลหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า อันนั้นเป็นความตั้งใจอยู่แล้ว แน่นอน ใครจะตั้งใจว่าร่วมรัฐบาลเสร็จให้แตกกัน มันไม่ใช่ ตนเป็นนายกฯ ถ้าสมมุติว่ามีพรรคร่วมหลายพรรคแบบนี้ แล้วไปด้วยกันไม่ได้ ตนต้องเป็นคนคุยและเป็นคนแบกไว้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่อยากให้มีปัญหาเช่นนั้นแน่นอน เราถึงต้องคุยกัน

เมื่อถามย้ำว่า ยืนยันรัฐบาลจะอยู่ครบเทอมเหมือนเดิมใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ”อยากยืนยันอย่างนั้นเลยค่ะ แน่นอน “

ส่วน นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีงานดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลช่วงเย็นนี้ 25 กุมภาพันธ์ จะมีประเด็นเคลียร์ใจอะไรหรือไม่ว่า ยืนยันว่าไม่มีการเคลียร์ใจในวันนี้ แต่เราไปหารือถึงความพร้อมของแต่ละพรรคหากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งแต่ละพรรคต้องไปเตรียมการตอบให้มีความชัดเจนและถูกต้อง และให้ประชาชนรับทราบทั้งนี้สปิริตของการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต้องมี ซึ่งนายกฯได้พูดชัดเจนไปแล้ว ผู้สื่อข่าวก็เห็นว่าบรรยากาศไม่มีอะไร เรื่องร้าว เรื่องทะเลาะ ก็เป็นตามหน้าข่าวเท่านั้น ทุกวันนี้เน้นการทำงาน ไม่ได้มีปัญหาอะไร

ผู้สื่อข่าวในมติการเมืองพรรคภูมิใจไทยมีอะไรค้างคาใจหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มี ในความเป็นรองนายกฯ ผู้บังคับบัญชาคือนายกฯท่านเดียว ตนมีอะไรก็หารือกับนายกฯ ตลอดเวลา หรือหากนายกฯมีข้อสั่งการอะไรมา ก็ไม่มีเรื่องอะไรที่เราทำให้ท่านไม่ได้ เมื่อถามว่าข่าวที่ออกมาทำให้เกิดความหวาดระแวงหรือไม่ นายอนุทินย้อนผู้สื่อข่าวว่า ก็ข่าว “ใครเขียนหล่ะ พวกตนไม่ได้เขียน”

เมื่อถามถึงกรณีนายกฯระบุว่าในพรรคร่วมมีความเห็นไม่ตรงกันหลายเรื่อง นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ ทุกคนต้องความเห็นเป็นของตัวเอง ความเห็นไม่ตรงกันก็นำมายำ และหารือกัน ความเป็นรัฐบาลคืออะไรที่เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนก็ต้องยอมรับ ยืนยันว่าทุกวันนี้ไม่เคยมีความขัดแย้ง ในการเป็นรัฐบาล

เมื่อถามว่าคิดว่ามีศัตรูรายบุคคลในรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องรัฐบาล ถ้าเป็นเรื่องบุคคลก็ต้องว่ากันไป จะไปกวนท่านนายกฯไม่ได้ อย่างเช่นกรณีตรวจสอบที่ดินอ.ปากช่อง เกี่ยวกับครอบครัวของตน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน ใครจะไปพิสูจน์ก็ทำ ซึ่งไม่เกี่ยวกับรัฐบาล

เมื่อถามว่ารู้หรือไม่ใครเป็นอีแอบที่ค่อยตรวจสอบนายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าดีที่สุดคือชี้แจงได้หมด ซึ่งตอนนี้ชัดเจนแล้ว คนในครอบครัวตนไม่มีใครทำผิดกฎหมาย จึงไม่ได้กังวลอะไร ที่ควบคุมไม่ได้

เมื่อถามว่า ความขัดแย้งสามารถควบคุมได้ใช่หรือไม่ เพื่อไม่ให้ขยายเป็นปัญหาของพรรคร่วมรัฐบาล นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นคนละเรื่องกัน ไม่ว่าใครจะขัดแย้งอย่างไร ก็ไม่ใช่มาตีกันในครม. ถ้าเกิดเย็นนี้ไปหารือจะกราบเรียนกับนายกฯว่า ในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ถ้าเป็นเรื่องการปฏิบัติงานชี้แจงได้ไม่ผิดกฎหมาย พรรคก็ยกมือสนับสนุนให้นอกจากฝ่ายค้านมีหลักฐานที่แสดงให้เห็นความผิดกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าพรรคนั้นจะมี 140 คนหรือ 36 คน ยืนยันว่าท่าทีพรรคจะเป็นแบบนี้เราต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน และจะได้เคลียร์กันว่าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลอันดับสอง พร้อมจะยกมือให้กับทุกพรรคร่วมรัฐบาล

ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถูกโยงว่าเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟแรนโช ของตระกูลชาญวีรกูล และคดีการฮั้วเลือกตั้ง สว.ว่า  “ถ้าใครทำผิด ก็คือผิด ต้องว่าตามกระบวนการ แต่ถ้าไม่ผิด ก็คือไม่ผิด นี่เป็นหลักการของตน”

ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลใช่หรือไม่ เพราะเป็นเพียงแค่การตบจูบกัน นายเฉลิมชัยกล่าวว่า ขอให้ไปถามทั้ง 2 พรรคดังกล่าว ตนเป็นเพียงพรรคร่วมรัฐบาลจึงต้องดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร แต่วันนี้ยังไม่มีผลกระทบ

ต่อข้อถามว่าขณะนี้มีกระแสเรียกร้องว่าควรจะยุบสภา เพราะพรรคร่วมฯมักมีปัญหากัน นายเฉลิมชัย กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไกล ยังไม่ถึง เมื่อถามว่าจะต้องเลือกข้างหรือไม่  นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ทำไมต้องเลือกข้าง วันนี้อยู่ข้างเดียวกันอยู่แล้ว

นายวราวุธ  ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงการร่วมรับประทานอาหารพรรคร่วมรัฐบาลช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ ว่า  ดีใจที่ได้รับเชิญ เพราะแปลว่าเรายังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ คงจะเป็นการพูดคุยกันในหลายเรื่อง แต่ยังไม่แน่ใจ ต้องรอฟังแนวทางจากนายกรัฐมนตรีก่อนในการประชุม ครม.ว่าการพูดคุยกับหัวหน้าพรรค และเลขาพรรคร่วมนั้นจะมีประเด็นใดบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะการได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกันโดยเฉพาะในวงเล็กนั้นจะทำให้พูดคุยกันได้อย่างสะดวกมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล มองเสถียรภาพรัฐบาลในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง  นายวราวุธกล่าวว่า ที่มีข่าวหรือว่าจะยุบสภาบ้างอะไรบ้างนั้น  ไม่เป็นความจริง เพราะหัวหน้าพรรคของแต่ละพรรคไม่ว่าจะพรรคใหญ่ พรรคกลาง หรือพรรคเล็ก หากไม่จำเป็นไม่มีใครอยากเลือกตั้ง เพราะมีความเหนื่อย ต้องใช้ทั้งทรัพยากรบุคคล เวลา และปัจจัยหลายๆอย่าง  และวันนี้ตนก็ยังไม่คิดว่าไปถึงจุดที่จะต้องมีการยุบสภาแต่อย่างใด  แน่นอนว่าการมีความเห็นแตกต่างกัน ในการทำงานของรัฐบาลที่เป็นพรรคผสม ถือเป็นเรื่องปกติ ที่หลายคนจะมีแนวทางแตกต่างกันไป แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วเมื่อสามารถพูดคุยหาเหตุผลที่ลงตัวกันได้ ข้อขัดแย้งก็จะสามารถแก้ไขลงได้ด้วยดี

ส่วน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการ กคพ.เพื่อพิจารณารับคดีฮั้วเลือก สว.เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ว่า คณะกรรมการ กคพ. มี 22 คน สามารถนำคดีอาญาเป็นคดีพิเศษได้ โดยต้องใช้มติ 2 ใน 3 คือ 15 คน โดยคณะกรรมการ กคพ.มีความเป็นอิสระ ยึดเกณฑ์ทั้งในส่วนของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม

“วันนี้ให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำพยานหลักฐานให้คณะกรรมการ กคพ. ดูอย่างตรงไปตรงมา แต่เนื่องจากการประชุมเป็นความลับ โดยเฉพาะบุคคลที่มาเป็นพยาน ซึ่งมีหลายคนต้องคุ้มครอง หลายคนรู้เห็นในองค์กรต่อการกระทำผิดครั้งนี้ ยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซง และปฏิบัติภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยกำชับพนักงานสอบสวนว่า ต้องทำหน้าที่สุจริต โปร่งใส ปราศจากอคติ และต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงและย้ำว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง เพราะเป็นเรื่องที่ทางดีเอสไอ และกกต.ดำเนินการอยู่แล้ว”

เมื่อถามถึงกรณี สว.ตั้งข้อสังเกตว่า ดีเอสไอไม่มีอำนาจในการตรวจสอบเรื่องนี้ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ก็ต้องไปแก้กฎหมาย ส่วนแนวโน้มที่ประชุมคณะกรรมการ กคพ. วันนี้จะได้เสียงถึง 15 คน ให้รับเป็นคดีพิเศษหรือไม่นั้น ตนได้กำชับไม่ให้มีการล็อบบี้ใคร เพียงแต่การส่งเอกสารจะมีชื่อพยานบุคคลไม่ได้ เพราะหลายคนรู้เห็นในองค์กรอาชญากรรม ซึ่งเขาบอกว่าหากชื่อหลุดไปอาจไม่ได้รับความเป็นธรรม ตนยอมรับว่ารู้สึกหนักใจ เพราะอยากให้ปิดบังชื่อพยาน แต่หากกรรมการอยากดูชื่อก็จะให้ไปดูกับพนักงานสอบสวน

เมื่อถามว่า มีการมองว่า เรื่องนี้เป็นการตบจูบกันระหว่างแกนนำรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาล ยืนยันจะไปสุดทาง ไม่มีหยุดกลางทางใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า พรรคร่วมจะต้องมีความสามัคคีกัน แต่ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย ตนเป็นหนึ่งในพรรคร่วม เคารพในพรรคร่วม ไม่เคยไปกล่าวร้ายใคร ทุกอย่างขอให้พยานหลักฐานเป็นตัวบ่งชี้

ส่วน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่หนักใจอะไร เพราะทำตามหน้าที่และเป็นเรื่องที่ กกต.ส่งมาให้ดีเอสไอ

“เรื่องนี้มองว่า อย่าใช้อารมณ์หรือมองว่า เป็นความรู้สึกในการกลั่นแกล้งทางการเมือง เข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ต้องมีข้อเท็จจริงมารองรับอย่างชัดเจน และหากกฎหมายอนุญาตให้ดีเอสไอทำ จึงจะสามารถทำได้”

นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า เมื่อส่งเรื่องมายังตน  ตนตกใจเพราะข้อหาพูดถึงเรื่องอั้งยี่ ซ่องโจร ตนจึงตั้งคำถามไปว่าใช้ข้อกล่าวหานี้ไม่รุนแรงไปใช่หรือไม่ ซึ่งดีเอสไอระบุว่า เป็นคำพูดทางกฎหมายที่มีมานานแล้วและเรื่องนี้เข้ากฎหมาย จึงต้องดำเนินการตามนั้น”

เมื่อถามว่า กรณีที่ สว.ระบุว่าจะฟ้องกลับมีความกังวลหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่าเราไม่ได้หวั่นไหวอะไรเราทำตามหน้าที่ หากฟ้องก็ต้องไปฟ้อง กกต. เพราะเป็นคนยื่นเรื่องมายังดีเอสไอ ถ้าดีเอสไอดูแล้วไม่มีมูล ก็ตัดเรื่องนี้ทิ้งไป โดยไม่เอาความชอบความเกลียดประเด็นทางการเมือง เข้ามาประกอบการตัดสินใจครั้งนี้

“ผมได้กำชับว่า ให้ดำเนินการตามข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่ชัดเจน ให้ทำตามหน้าที่โดยไม่ต้องคิดว่าเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ใครทำผิดจริงก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องมานั่งปวดหัว เราพิจารณาเรื่องนี้เราไม่ได้พิจารณาว่า สว. เป็นคนของพรรคภูมิใจไทย ผมยังไม่ทราบว่าใช่หรือไม่ใช่ ต้องให้พรรคภูมิใจไทยพูด หรือแสดงท่าทีออกมา เราไม่ได้พิจารณาว่าเป็นการเมืองฝ่ายไหน พร้อมยืนยันว่า เรื่องนี้จะไม่กระทบต่อภาพรวมการทำงานของรับบาล เพราะไม่ว่าพรรคไหน คนของพรรคใด กระทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบ”

ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวในกรณีเดียวกันว่า อยากตั้งคำถามถึงการทำงานของ กกต.ว่าได้ทำงานรวดเร็ว และเท่าเทียมกันในทุกกรณีหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีหลายกรณีที่ กกต.ทำงานเร็วมาก แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่ กกต.จะแกล้งลืม ซึ่งใช้เวลานานส่วน ดีเอสไอ จะมีอำนาจหรือไม่ ตนคิดว่าเป็นเรื่องทางกฎหมายที่อาจจะถกเถียงกันได้

“แต่ต้องตั้งคำถามว่าที่ผ่านมา กกต.ทำอะไรอยู่ ทั้งๆที่เรื่องนี้เคยถูกส่งไปนานมากแล้ว และสิ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน คือที่มาของ สว.ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ไม่ได้ตอบโจทย์อะไรและนำมาซึ่งปัญหา จึงอยากตั้งคำถามให้สังคมว่าตกลงแล้ว คำว่า สว.เป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย ด้วยกติกาแบบนี้ ตอบโจทย์หรือไม่ และยังจำเป็นต้องมี สองสภาอยู่หรือไม่ ขอฝากไปถึง กกต. นอกจากเรื่องการทำหน้าที่ ความจริงแล้ว กกต. ไม่ได้แค่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำตามกฎหมายที่ระบุ คุณควรจะให้ความเห็นได้ตั้งแต่แรก ว่าวิธีแบบนี้มันไม่เวิร์ค ไม่ใช่เขาบอกว่าทำตามกติกาทุกอย่าง ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย งั้นใช้ Ai มาเป็น กกต. ก็ได้ ไม่ต้องใช้คน”

เมื่อถามว่า หากเป็นการงัดข้อระหว่างผู้มีอำนาจทางการเมือง ทั้งสองพรรคจริง จะถึงขั้นเปลี่ยนขั้วรัฐบาลเลยหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ขอย้อนกลับไปยังกติกาการเลือก สว. ที่มีปัญหา แต่จะงัดข้อถึงการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลหรือไม่ ก็ขอยืนยันว่าเราพร้อมที่จะเลือกตั้งและให้ประชาชนตัดสินใจอีกครั้งหนึ่งว่า จะให้ใครเป็นผู้นำรัฐบาล จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนขั้วก็ตาม พรรคประชาชน ยืนยันว่าในสภาชุดนี้เราไม่เข้าไปร่วมรัฐบาลแน่นอน

วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคำร้องที่คณะกรรมการการเลือกตั้งขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 สมาชิกภาพวุฒิสภาของนายสมชาย เล่งหลัก สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 111 (4) ประกอบมาตรา 108 ข.ลักษณะต้องห้าม (1) มาตรา 98 (5) หรือไม่ เนื่องจากปรากฏคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ลต.338/2567 ลงวันที่ 23 กันยายน 2567 พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาเป็นเหตุให้สมาชิกภาพวุฒิสภาสิ้นสุดลง

โดยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรค 2 และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาของนายสมชายว่างลง นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย โดยนายสมชายได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่าคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัย ได้ จึงยุติการไต่สวน และกำหนดนัดแถลงด้วยวาจาประชุมปรึกษาหารือและลงมติในวันที่ 26 มีนาคม 2568 เวลา 09.30 น. และนัดฟังคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น.