"วิจัยกรุงศรี" ชี้เศรษฐกิจโลกเผชิญความไม่แน่นอนสูงขึ้นหลังทรัมป์เตรียมยกระดับสงครามการค้า ด้านไทยจับตาการประชุม กนง.กลางสัปดาห์นี้
เมื่อวันที่ 25 ก.พ.68 วิจัยกรุงศรี เผยว่าทรัมป์เตรียมยกระดับสงครามการค้า ท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ รายงานการประชุมเฟดในวันที่ 28-29 มกราคม ระบุว่ากรรมการเฟดยังกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง และมองว่ามาตรการกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจขัดขวางความพยายามในการกดเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมายที่ 2% อีกทั้งยืนยันว่าเฟดจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมจนกว่าจะเห็นสัญญาณเงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ปัจจัยดังกล่าวลดทอนความเป็นไปได้ในการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมีนาคม
สงครามการค้ามีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเป็นลำดับหลังประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศใช้นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) รวมถึงพิจารณาปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าในกลุ่มยานยนต์ ยา และเซมิคอนดักเตอร์ สู่ระดับ 25% ในเดือนเมษายนนี้ ทั้งนี้ ถ้ามีการบังคับใช้จริงกับทุกประเทศคาดว่าจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือนที่ 50.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อประกอบกับแรงกดดันจากยอดการรีไฟแนนซ์หนี้ที่เพิ่มขึ้น วิจัยกรุงศรีคาดเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก 0.50-0.75% ในปีนี้ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
จีน
การลงทุนของจีนยังซบเซาจากแรงกดดันรอบด้าน ยอดสินเชื่อคงค้างรวมและยอดสินเชื่อคงค้างให้แก่ภาคเศรษฐกิจจริงในเดือนมกราคมขยายตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เพียง 8% และ 7.2% YoY ตามลำดับ ส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในปี 2567 แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 30 ปีที่เพียง 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า การลงทุนโดยรวมของจีนยังอ่อนแอ ขณะที่รัฐบาลให้คำมั่นต่อนักลงทุนจากต่างชาติ ทั้งการยกเลิกข้อจำกัดในการเข้าถึงตลาด และการปฏิบัติต่อสินค้าที่ผลิตโดยบริษัทจีนและต่างชาติอย่างเท่าเทียมกัน นอกจากนี้ การพบปะกันอย่างเป็นทางการระหว่างนายสี จิ้นผิง และผู้แทนจากบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่และยูนิคอร์นของจีนยังส่งสัญญาณว่าการกำกับและควบคุมภาคเอกชนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอาจผ่อนคลายมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนในภาพรวมอาจฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ ประกอบกับปัญหาอุปทานส่วนเกินในภาคการผลิตและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามการค้าและเทคโนโลยีระหว่างจีนและสหรัฐฯ
ไทย
มาตรการทางการคลังอาจให้ประสิทธิผลเชิงบวกจำกัด ส่วนการผ่อนคลายนโยบายการเงินอาจช่วยประคองแรงส่งของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จาก 4 โครงการเศรษฐกิจที่สำคัญจะก่อให้เกิดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ 260,050 ล้านบาท ได้แก่ (i) โครงการโอนเงิน 10,000 บาทให้กับผู้สูงอายุที่ผ่านเกณฑ์ วงเงินถึงปัจจุบัน 28,250 ล้านบาท (ii) โครงการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านมาตรการลดหย่อนภาษี (Easy
E-Receipt) คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนกว่า 70,000 ล้านบาท (iii) โครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน (SML) จัดสรรจากงบประมาณปี 2568 จำนวน 11,900 ล้านบาท และ (iv) โครงการแจกเงิน 10,000 บาทผ่านระบบดิจิทัล (มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 3) คาดว่าจะดำเนินการในช่วงไตรมาส 2 วงเงินราว 160,000 ล้านบาท
วิจัยกรุงศรีประเมินแม้จะมีเม็ดเงินสูงกว่า 2.6 แสนล้านบาท (คิดเป็น 1.4% ของ GDP) เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปีก็ตาม แต่ประสิทธิผลของแต่ละโครงการอาจมีผลเชิงบวกจำกัด สะท้อนจากการดำเนินโครงการแจกเงินสด 10,000 บาทแก่กลุ่มเปราะบางวงเงินราว 1.4 แสนล้านบาท (0.8% ของ GDP) โดยเริ่มแจกตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา พบว่าการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วเติบโต +3.4% YoY ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้า (+3.3%) และชะลอลงมากจาก +6.6% ใน 1Q67 และหากพิจารณาการเติบโตแบบ QoQ กลับขยายตัวเพียง +0.5% จาก +0.6% ใน 3Q67 และ +1.3% ใน 1Q67 อีกทั้งยังมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ดังนั้น การใช้มาตรการทางการคลังด้านเดียวอาจไม่เพียงพอ การผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มขึ้นจึงอาจมีความจำเป็น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ การบริโภคอ่อนแอ การลงทุนภาคเอกชนยังอยู่ในภาวะซบเซา สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์หดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี (-0.4%) จึงมีความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินจะพิจารณาทบทวนปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงสู่ระดับ 2% ในการประชุมวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ทั้งนี้ หากไม่มีการปรับลดรอบนี้ก็ยังมีโอากาสที่จะลดในรอบการประชุมครั้งถัดไปในเดือนเมษายน
#เศรษฐกิจโลก #ทรัมป์ #ข่าววันนี้ #สงครามการค้า #ดอกเบี้ย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์