วันที่ 24 ก.พ.2568 ที่กกต.นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 ยื่นหนังสือให้ประธาน กกต. และ เลขา กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กรณีถือครองหุ้นบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ เกินร้อยละ 5 และถือครองเกินกว่ากรอบที่กฎหมายกำหนดจะต้องโอนหุ้นภายใน 15 วัน ก่อนเข้ารับตำแหน่ง แต่ปรากฎว่านายกฯถือครองหุ้นบริษัทอัลไพน์ 30% โดย น.ส.แพทองธารได้รับคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 16 ส.ค. 2567 ยังคงปรากฎการถือหุ้นอยู่ 30% และวันนี้มีความชัดเจน ว่าที่ดินบริษัท อัลไพน์ฯ เป็นที่ดินธรณีสงฆ์ ตาม พ.ร.บ.สงฆ์ ไม่สามารถครอบครอง บุกรุก ถือกรรมสิทธิได้
นายนพรุจ กล่าวว่า เมื่อมีการตีความชัดเจนแล้วว่าการถือหุ้นที่ดินธรณีสงฆ์น.ส.แพทองธาร ได้ถือครองตั้งแต่สมัยเป็นเด็กหญิง และถือเฉพาะครอบครัวตระกูลชินวัตร แสดงเจตนาต้องการครองครอบที่ดินวัดมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดความสงสัยว่านายกรัฐมนตรีสามารถครอบครองได้ ประชาชนก็จะสามารถบุกรุกที่ดินของวัดได้ รวมถึงเรียกค่าชดใช้ในกรณีที่ถูกบังคับคืน ตนจึงขอเรียกร้องน.ส.แพรทองธาร บอกคนในครอบครัวชินวัตร ให้คืนที่ดินบริษัท อัลไพน์ฯ ทันที มิฉะนั้นจะไม่สามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ เพราะไม่ยอมเสียสละที่ดินวัด เห็นว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับคนไทยทั้งประเทศ และผิด พ.ร.บ.สงฆ์ ตนจึงมายื่นต่อ กกต. ในฐานะความปรากฏ และเลขาธิการ กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่ต้องดำเนินการชี้ถูกชี้ผิด
นายนพรุจ กล่าวอีกวา ส่วนตัวเชื่อว่าเรื่องนี้มีมูลมาเพียงพอแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีผู้มายื่นร้องเรียนในเรื่องนี้หลายคน รวมถึงยื่นหลักฐานมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ตรวจสอบ นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือครองหุ้นบริษัท อัลไพน์ฯ 30% เป็นการถือครองหรือครอบครองเสมือนเจตนาของครอบครัว และยังคงถือครองหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ เลยกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด เข้าข่ายไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงอันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) หรือไม่ ประกอบกับที่ดินดังกล่าวถูกกล่าวหาว่าเป็นธรณีสงฆ์ อยู่ระหว่างการเพิกถอน และขอที่ดินคืน การถือครองที่ดินธรณีสงฆ์ดังกล่าว นายกรัฐมนตรีถือครองเป็นระยะเวลานาน ทั้งขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดังนั้นเมื่อมีผู้ร้องและมีการยื่นหลักฐานมาอย่างต่อเนื่อง เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กกต. กำหนด ดังนั้นจึงขอให้ กกต.ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 92 ทันที
"ต่อจากนี้ต้องถามนายกรัฐมนตรีก่อนว่า ท่านไหว้พระไหม ท่านนับถือศาสนาอะไร ตามสูจิบัตร ครอบครัวของท่านเข้าใจคำว่าที่ดินวัด ที่ดินธรณีสงฆ์ ถ้าเป็นผม แม้แต่ทรายวัดเม็ดเดียว ผมก็ไม่อยากให้ติดรองเท้าออกมาจากวัด เพราะเราจะติดหนี้กรรม หนี้บาป ดังนั้นที่ดิน อัลไพน์ เป็นที่ดินบาป เมื่อที่ดินบาปนั้นคือสิ่งที่ไม่ดี การถือครองมันไม่ดี ไม่เป็นสิริมงคล เราต้องทำตามเจตนารมณ์ของคำว่าที่ดินธรณีสงฆ์คือต้องคืนให้วัด ณ วันนี้ประชาชนยังศรัทธาคุณหรือ ในเมื่อคุณยังถือที่ดินของวัดอยู่ แล้วเกิดเป็นประเด็นทางการเมือง คนที่อ้างว่าจะต้องได้เงินชดเชยจากวัด หรือกรมการศาสนา รัฐบาลไม่สมควรพูด เพราะเราใช้ที่ดินวัดมายาวนานหลายสิบปี นอกจากคืนแล้วเราต้องทำบุญเพื่อไถ่บาป " นายนพรุจ กล่าว
เมื่อถามย้ำว่าถ้ามีความชัดเจนว่าที่นี่เป็นที่ดินธรณีสงฆ์จะเรียกร้องให้คืนที่ดิน นายนพรุจ กล่าวว่า ให้คืนทันที คนเป็นนายกฯก็คือตัวแทนประชาชนทั้งประเทศที่มีความมุ่งหมายว่าจะมาทำประโยชน์เพื่อคนทั้งประเทศ ถ้ายังมีการครอบครองอยู่จะแปลความหมายได้ว่า เราทำเพื่อผลประโยชน์ประชาชนไม่ได้ เพราะที่ดินวัดเป็นที่ดินสาธารณะทุกคนต้องมาใช้ประโยชน์ได้ แต่ถ้าเราเอาที่ดินวัดมาทำประโยชน์ บอกเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่เอาที่ดินวัดมาทำเป็นสนามกอล์ฟ แล้วยังมาต่อสู้ว่าการถือครองที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย มันเป็นเรื่องตลก ตนไม่ได้มีความรังเกียจท่าน แต่วันนี้เรานับถือศาสนาพุทธเมื่อได้ยินว่ามีคนถือครองที่ดินวัดมันมีความอึดอัดและไม่เอาดีกว่า แค่สมมุติเจ้าอาวาสให้เราไปอาศัยที่วัดเรายังรู้สึกเลยว่าเราไม่ได้เป็นพระ เราจะไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ถ้าเป็นสัปเหร่ออยู่ได้ และต้องถามว่านายกฯพร้อมจะเป็นสัปเหร่อหรือเปล่าเพราะอาศัยที่ดินวัดอยู่ได้ วันนี้คำเดียวคือ คืนทันที เรียกร้องให้ตระกูลชินวัตรคืน แต่พรุ่งนี้ (25 ก.พ.) ตนจะไปยื่นเรื่องนี้ต่อประธานวุฒิสภาไปยัง สว.ทุกคน เพื่อเข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ มาตรา170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 คือรวมกันเข้าชื่อ 1 ใน 10 ของสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องนี้
เมื่อถามว่าดูทิศทางทางการเมืองของน.ส.แพทองธารแล้วจะช้ำรอยกับนายเศรษฐา ทวีสิน หรือไม่ในเรื่องของการซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ นายนพรุจ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าทำดีได้ดี ทำไม่ดีก็ได้ไม่ดี สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะนายกรัฐมนตรีไม่เข้าใจก็ได้ แต่การเป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีความเข้าใจด้วยตัวเอง ต้องมีความรู้
"ท่านต้องมีซิกเซ้นส์ ไม่ใช่อินโนเซ้นต์ อินโนเซ้นต์ท่านเก็บไว้ที่บ้าน ท่านต้องมีภูมิต้องตอบได้ ไม่ต้องโยนไปข้างหลัง ตอบได้ทุกเรื่อง มีความรู้ ความสามารถรอบตัว ดังนั้น น.ส.แพทองธารต้องไปเรียนซิกเซ้นส์ มันต้องพิจารณาตัวเอง ว่าถ้าท่านการใช้อินโนเซ้นต์ท่านต้องลาออก ผมสงสัยว่าการที่บิดาของท่านใช้ซิกเซ้นส์แทน ตามระเบียบของการเป็นนายกรัฐมนตรีไม่สมควรมีการซ้อนอำนาจ เป็นอำนาจครอบครองครอบงำ หรืออำนาจเงา เพราะล่าสุดบทบาทของบิดาท่านมันเกินหน้าท่าน เดินสายลงพื้นที่อยู่บ่อยครั้ง มันจะทำให้ท่านเป็นเด็กอินโนเซ้นต์สมบูรณ์” นายนพรุจ กล่าว