วันที่ 22ก.พ.68ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ผ่านมา พล.ต.ต.ภิรมย์ สวนทอง ผบก.ภ.จว.ยโสธร พร้อมด้วย พ.ต.อ.สานิตย์ ไชยสถิตย์ รอง ผบก.ภ.จว.ยโสธร,พ.ต.อ.ประสิทธิ์ เพชรรัตน์ ผกก.สภ.เมืองยโสธร,พ.ต.ท.วรวุทธิ์ ท่านมุข รอง ผกก.สภ.เมืองยโสธร ,เจ้าหน้าที่ชุดสอบสวน สภ.เมืองยโสธร เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถจับกุมผู้ต้องหาสัญชาติจีนและไทยได้ 10 คน ประกอบด้วย1.นายพลวัฒน์ อายุ 31 ปี ชาวนครราชสีมา ,2.นายมงคล อายุ 47 ปี ชาวอำนาจเจริญ ทั้งคู่เป็นคนขับรถโดยสารประจำทาง ,3.นายหยี๋ว อายุ20 ปี ,4.นายเหอ อายุ20 ปี,5.นายเหอ ฉี๋ โจว อายุ20 ปี,6.นายเฉียงฉ่าว หนิน อายุ28 ปี,7.นายฉวี่ ฟู่ อายุ 25 ปี,8.นายหว๋าง หลง อายุ 30 ปี,9.นายหลาน เหม่า เทา อายุ25 ปีและนายหม่า ปิง อายุอายุ 26 ปี ทั้ง8 คนเป็นชาวจีน
พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือไอโฟน 91 เครื่อง,รถโดยสารประจำทางกรุงเทพฯ-เขมราฐ 929-8 ม.4ข(พ)ทะเบียน 16-5400 กรุงเทพมหานคร,โน้ตบุ๊คยี่ห้อแอปเปิ้ล 1 เครื่อง และกระเป๋าเดินทาง โดยสามารถจับกุมได้ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยโสธร เมื่อเวลา04.30 น.วันที่ 19 ก.พ.68ที่ผ่านมาโดยพฤติการณ์ในการจับกุม สืบเนื่องจากพ.ต.ท.วรวุทธิ์ ท่านมุข รอง ผกก.สส.สภ.เมืองยโสรร ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.ยโสธร แจ้งว่ามีการลักลอบนำบุคคลต่างด้าวผ่านมายังพื้นที่จังหวัดยโสธร โดยใช้รถยนต์โดยสารประจำทางกรุงเทพฯ-เขมราฐ 929-8 ม.4ข(พ)ทะเบียน 16-5400 กรุงเทพมหานคร โดยจะมาจอดพักรถที่บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดยโสธร ต.ในเมือง อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร จึงได้เดินทางไปตรวจสอบตามที่ได้รับแจ้ง
เมื่อไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุพบนายพลวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 1 และนายมงคล ผู้ต้องหาที่ 2 แสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเป็นผู้ขับขี่รถยนต์โดยสารดังกล่าว จึงแสดงตัวเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำการขอเข้าตรวจสอบรถยนต์โดยสาร พบผู้ต้องหาที่ 3-10 อยู่ภายในรถโดยสารคันดังกล่าว จากการสอบพบว่าเป็นบุคคลต่างด้าว สัญชาติจีน จึงได้ตรวจสอบหนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) พบว่าผู้ต้องหาที่ 3-4 พาสปอร์ต (Over Stay) จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาที่ 3-4 ผ่านล่ามแจ้งให้ทราบว่า"เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด" และ ผู้ต้องหาที่ 5-10 พบว่าไม่มีหนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต) แสดงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาที่ 5-10 ผ่านล่ามว่า "เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต, เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางอนุญาต" จากนั้นจึงได้ทำการค้นภายในกระเป้าเป้สะพายที่ผู้ต้องหา 3-10 โดยสารมาภายในรถยนต์โดยสารพบโทรศัพท์จำนวน 91 เครื่อง
ทั้งนี้จากการสอบถามผู้ต้องหาที่1-2 ให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ขับรถยนต์โดยสาร โดยได้สลับหน้าที่กันและได้จอดรับผู้ต้องหาที่ 3-10 ที่แยกบ้านนา อ.แก่งคอย จ.สระบุรี มีปลายทางที่ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานีส่วนผู้ต้องหาที่ 3-10 ให้การผ่านล่ามว่ากำลังพากันเดินทางไปทำงาน ส่วนโทรศัพท์มือถืออ้างว่าไม่ใช่ของพวกตน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาโดยกล่าวหาว่า ผู้ต้องหาที่ 1-2ว่า"ผู้ใดรู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ ให้เข้าพักอาศัย ช่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพันจากการจับกุม"ผู้ต้องหาที่ 3-4 "เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด" ผู้ต้องหาที่ 5-10"เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต, เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางอนุญาต"พร้อมนำตัวและของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่าชาวจีนทั้งหมด8 รายอาจมีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เนื่องจากพบโทรศัพท์มือถือจำนวนมากและกำลังเดินทางไปยังอ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งคาดว่าบุคคลกลุ่มนี้กำลังจะหลบหนีเพื่อหาฐานที่ตั้งใหม่เพราะขนาดส่วนกลางระดมกวาดล้างอยู่และเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมืองยโสธรได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาชาวจีน จำนวน 8 คน พร้อมด้วยผู้ต้องหาชาวไทยอีก 2 คน ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ไปขออำนาจศาลฝากขังเป็นผลัดแรกที่ศาลจังหวัดยโสธร
ภายหลังจากที่ได้ทำการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดในเบื้องต้นเสร็จแล้วโดยมีล่ามช่วยสื่อสารและอธิบายขั้นตอนการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาชาวจีนทั้ง 8 คน โดยในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหา "เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด" และ "เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต, เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านช่องทางอนุญาต" ส่วนผู้ต้องหาคนไทย 2 คน ซึ่งเป็นคนขับรถโดยสารประจำทาง ได้แจ้งข้อหา "ผู้ใดรู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม