ตม.ยัน การผลักดันคนต่างด้าวที่เกี่ยวข้องคอลเซ็นเตอร์จัดเก็บบันทึกข้อมูลขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้ามของระบบ Biometrics

จากกรณีที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร โพสเฟซบุ๊กกรณีการผลักดันส่งกลับคนต่างด้าว โดยไม่มีการจัดเก็บ Biometrics หรือข้อมูลต่างๆ ไว้เลยถือเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงต่อการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ ตามที่ข่าวเสนอไปเท่านั้น

วันที่ 21 ก.พ.68) เวลา 1 ที่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง พ.ต.อ.คธาธร คำเที่ยง รอง ผบก.ตม.3 ในฐานะโฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยกรณีการผลักดันส่งกลับบุคคลต่างด้าวที่รับตัวจากประเทศเมียนมานั้น สตม. ขอยืนยันว่าการผลักดันคนต่างด้าวที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในลักษณะคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกส่งตัวมาจากประเทศเมียนมาได้มีการจัดเก็บและบันทึกข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ( ลายพิมพ์นิ้วมือ และภาพถ่ายใบหน้า ) ลงในบัญชีบุคคลต้องห้าม ( Blacklist ) ของระบบ Biometrics   ก่อนดำเนินการผลักดันส่งกลับออกไปนอกประเทศทุกราย ซึ่งหากต่อมาภายหลังคนต่างด้าวรายดังกล่าวจะเดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยมีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล สัญชาติ  หรือหนังสือเดินทางก็ตาม ระบบ Biometrics สามารถพิสูจน์ยืนยันบุคคลว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน เพื่อปฏิเสธการเข้าเมืองได้
    
อนึ่ง กรณีคนต่างด้าวบุคคลใด หรือสัญชาติใดก็ตาม ที่กระทำความผิด และเคยถูกขึ้นบัญชีบุคคลต้องห้าม (Blacklist) ในระบบ Biometrics  ไว้ ระบบ ฯ จะสามารถตรวจสอบยืนยันตัวบุคคลได้ทุกกรณีเช่นเดียวกัน  ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ตลอดชีวิต