ผ่านพ้นมาจนครบ 3 ปีแล้ว สำหรับ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ซึ่งการสู้รบกันวันแรกเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 (พ.ศ. 2565) ต่อเนื่องยาวนานมาถึง ณ วินาทีนี้

โดยสงครามเริ่มขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศใช้ “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” กับยูเครน ในวันดังกล่าว ซึ่งไม่ผิดอะไรกับการประกาศทำสงครามกับยูเครนดีๆ นั่นเอง

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในวันประกาศใช้ปฏิบัติการพิเศษทางทหารต่อยูเครน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 (พ.ศ. 2565) ที่ทำเนียบเครมลิน กรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซีย (Photo : AFP)

ทั้งนี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้น บรรดาผู้นำประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภูมิภาคยุโรป เช่น ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ได้พยายามหารือเพื่อยับยั้งไม่ให้รัสเซียใช้กำลังทหารกับยูเครน

ถึงขนาดประธานาธิบดีมาครง เดินทางไปพบปะหารือกับประธานาธิบดีปูติน ถึงที่ “วังเครมลิน” อันเป็นทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซีย ในกรุงมอสโก เมืองหลวงของประเทศกันเลยทีเดียว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะรัสเซีย ไม่พอใจอย่างรุนแรงที่ยูเครน จะเข้าร่วมเป็นชาติสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ นาโต ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศของเหล่าชาติตะวันตก หวังใช้ยูเครนเป็นฐานขยายอิทธิพลจนมาประชิดติดพรมแดนกับรัสเซีย ขณะที่ รัสเซีย ต้องการให้ยูเครนเป็นแนวกันชนระหว่างรัสเซียกับนาโต แต่เมื่อเป็นแนวกันชนให้ได้ ทางรัสเซีย ก็ต้องใช้กำลังกับยูเครนกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย

ประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เดินทางไปหารือกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ถึงที่ทำเนียบเครมลิน กรุงมอสโก เพื่อยับยั้งไม่ให้รัสเซียใช้กำลังทหารกับยูเครน ก่อนหน้าที่จะเกิดสงคราม แต่ไม่เป็นผล (Photo : AFP)

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ทางรัสเซียได้แสดงท่าทีคุกคาม ถึงขั้นที่จะใช้กำลังทหารกับยูเครนในช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมรบของกองทัพในพื้นที่ใกล้กับพรมแดนยูเครน รวมถึงการนำทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มาประจำการใกล้กับพรมแดนของยูเครน โดยใช้พื้นที่ทั้งในฝั่งของรัสเซียเอง และเบลารุส ชาติพันธมิตรสำคัญของรัสเซีย ซึ่งมีพรมแดนใกล้ชิดติดกับยูเครนเช่นกัน

ทางด้าน บรรดานักวิเคราะห์แสดงทรรศนะว่า รัสเซียตั้งป้อมที่จะคุกคามยูเครนมาเป็นเวลาพอสมควร อาจนับได้ตั้งแต่การเกิด “สงครามกลางเมืองยูเครน” ปี 2014 (พ.ศ. 2557) ที่รัสเซียให้การสนับสนุนต่อกลุ่มแบ่งแยกดินแดนภูมิภาคตะวันออกของยูเครน ในการสู้รบกับกองทัพรัฐบาลเคียฟ ซึ่งเป็นรัฐบาลกลางของประเทศยูเครน นอกจากนี้ รัสเซียก็ยังดำเนินกลยุทธ์จนสามารถช่วงชิงแคว้นไครเมียของยูเครน ในทะเลดำ มาเป็นรัสเซียได้เป็นผลสำเร็จ ในปีที่เกิดสงครามกลางเมืองยูเครนอีกต่างหากด้วย ก่อนที่หลายแว่นแคว้นในภูมิภาคตะวันออกของยูเครนถูกรัสเซียผนวกไปเป็นดินแดนของตนในเวลาต่อมา

ส่งผลให้รัสเซีย สามารถโอบล้อมยูเครน ได้ทั้ง 3 ทิศทาง คือ ทางตะวันออกโดยใช้ดินแดนภูมิภาคตะวันออกของยูเครนเดิม เช่น โดเนตสก์ ลูฮันสก์ เป็นต้น ส่วนทางใต้ก็ใช้แคว้นไครเมีย ที่ยึดมาได้จากยูเครนเช่นกันเป็นฐาน ขณะที่ ทางทิศเหนือก็ใช้พื้นที่ของเบลารุส ประเทศพันธมิตรสำคัญของรัสเซีย เป็นหนึ่งในที่ตั้งฐานทัพ รวมไปถึงกลุ่มนักรบรับจ้างของรัสเซียที่หลายคนคุ้นหูกันเป็นอย่างดี นั่นคือ กลุ่มวากเนอร์ นั่นเอง

ใช่แต่เท่านั้น ก็ยังมีรายงานว่า ทางทิศตะวันตกของยูเครน ก็ยังถูกรัสเซียโอบล้อม โดยการใช้กองกำลังติดอาวุธที่ฝักใฝ่รัสเซียในทรานส์นิสเตรีย ประเทศมอลโดวา อีกต่างหากด้วย

ส่วนหนึ่งของสภาพความเสียหายในพื้นที่แห่งหนึ่งของเมืองคาร์คีฟ ของยูเครน หลังถูกขีปนาวุธจากรัสเซียโจมตี ในการทำสงครามวันแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว (Photo : AFP)

ว่ากันถึงฉากสงคราม ก็มีการสู้รบด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรถถัง ยานรบหุ้มเกราะ การใช้ขีปนาวุธยิงโจมตี รวมถึงไปโดรนติดอาวุธในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ นอกเหนือจากการใช้กำลังพลของทหารภาคพื้นดินแล้ว ซึ่งในการสู้รบภาคพื้นดิน ทั้งสองฝ่ายก็ยังใช้กลุ่มนักรบรับจ้างเอกชนเป็นมือเป็นไม้ในการสัประยุทธ์ระหว่างกันด้วย โดยรัสเซีย มีกลุ่มนักรบรับจ้างวากเนอร์ ส่วนทางยูเครน มีกลุ่มนักรบโมสาร์ท แต่กลุ่มนักรบวากเนอร์ ดูจะมีประสิทธิภาพดีกว่า

ขณะที่ การช่วยเหลือจากต่างประเทศ ก็เป็นทางยูเครน ได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐฯ ในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จนสามารถยืนหยัดการต่อสู้มาได้ถึง ณ เวลานี้ แม้ว่าจะเพลี้ยงพล้ำจนต้องเสียดินแดนไปหลายแว่นแคว้นในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ทางเหล่าชาติตะวันตกและพันธมิตร ก็ยังช่วยเหลือยูเครน โดยใช้มาตรการคว่ำบาตร หรือแซงก์ชัน ทางเศรษฐกิจและบุคคลสำคัญต่างๆ ของรัสเซีย เป็นอาวุธสำหรับต่อกรกับรัสเซีย นับตั้งแต่ที่เริ่มสงครามตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาด้วย

ความเสียหายในเมืองแห่งหนึ่งของยูเครน หลังถูกกองทัพรัสเซียโจมตี (Photo : AFP)

ส่วนรัสเซีย ก็มีการช่วยเหลือจากอิหร่าน ที่สนับสนุนในเรื่องโดรนติดอาวุธ หรือโดรนสังหาร ซึ่งใช้ในปฏิบัติการโจมตีทางอากาศ นอกจากอิหร่านแล้ว ก็ยังมีเกาหลีเหนือ ที่สนับสนุนเรื่องอาวุธเครื่องกระสุน และขีปนาวุธพิสัยทำการต่างๆ ตลอดจนกำลังพลทหารหลายพันนาย ที่ถูกส่งเข้ามาช่วยทำสงคราม แถมยังอยู่แนวหน้าของการสู้รบอีกต่างหากด้วย เช่น การรบที่สมรภูมิในเมืองเคอร์คุสก์ของรัสเซีย เป็นต้น

ทางด้านความสูญเสียนั้น ต้องบอกว่า สูญเสียไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย

โดยทางฝั่งยูเครนนั้น สูญเสียกำลังพลทหารไปมากกว่า 46,000 นาย บาดเจ็บอีกกว่า 380,000 นาย ส่วนพลเรือนยูเครน ก็ต้องสังเวยชีวิตไปมากกว่า 12,300 คน บาดเจ็บอีกเกือบ 30,000 คน นอกจากบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ต้องพังพินาศในหลายเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประะเทศ แถมยังเกิดคลื่นอพยพของผู้คนชาวยูเครนอย่างมหาศาล โดยมีการอพยพไปทั้งในและนอกประเทศ

ขณะที่ ทางฟากรัสเซีย ก็สูญเสียกำลังพลทหารไปไม่น้อยกว่า 90,000 นาย และยังมีที่บาดเจ็บ ตลอดจนอีกจำนวนหนึ่งด้วย

ทว่า ตัวเลขความสูญเสียที่แท้จริง อาจจะมากกว่าที่รายงานไปของทั้งสองฝ่าย

การหารือระหว่างตัวแทนของสหรัฐฯ กับรัสเซีย ในความพยายามยุติสงครามยูเครน ที่กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย (Photo : AFP)

อย่างไรก็ตาม สงครามที่ดำเนินมาเป็นเวลานานถึง 3 ปี ที่สร้างความสูญเสียอย่างน่าสะพรึงข้างต้น ก็ดูจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ขึ้นมาบ้าง หลังหมดยุคของประธานาธิบดีไบเดน ของสหรัฐฯ ที่จบวาระไป แล้วนายโดนัลด์ ทรัมป์ หวนกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งหนึ่งในนโยบายสำคัญของเขานั้นก็คือ การพยายามยุติสงครามดังกล่าว ที่ล่าสุดตัวแทนทั้งของสหรัฐฯ ที่นำโดยนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย ในฐานะตัวแทนของรัสเซีย ได้เจราจาปูแนวทางกันไปแล้วที่ซาอุดีอาระเบีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เหลือแต่การประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ กับประธานาธิบดีปูติน ที่จะหารือกัน ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ว่าจะมีแนวทางการดับไฟสงครามกันอย่างไรต่อไป