ขอวีซ่าต่อเวลาโกงความตาย สำหรับพรรคประชาชน ล่าสุด “หัวหน้าเท้ง”ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นำทีม 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ประกาศงัดเกมขอขยายเวลารับทราบข้อกล่าวหา ของ ป.ป.ช. กรณีลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ผิดจริยธรรมร้ายแรงออกไปจากกรอบเวลาเดิมคือ 15 วัน  โดยอ้างเหตุผลว่าอยู่ในช่วงเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจ

กระนั้น “หัวหน้าเท้ง”ยอมรับว่าใน 44 สส.มีบางส่วนที่ถูกส่งไปหยั่งเชิงเก็งข้อสอบของป.ป.ช. เพื่อจะได้รับทราบรายละเอียดข้อกล่าวหา รวมถึงรายละเอียดของพยานหลักฐานของป.ป.ช.

และแม้ จะย้ำนักย้ำหนาว่า “เราไม่มีการเสียสมาธิใดๆ ยังยืนยันว่า คดีนี้ไม่ได้ส่งผลต่อพวกเราใดๆ ทั้งสิ้น  ยังยืนยันเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป...

พวกเรายืนยันว่า พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่กระทบต่อสมาธิในการทำงาน”หัวหน้าเท้ง ระบุ 

ทว่าท่าทีของพรรคประชาชนที่ยืนยันว่าไม่เสียสมาธิในการทำงานนั้น กลับย้อนแย้งกับการเคลื่อนไหวขอขยายเวลาในการรับทราบข้อกล่าวหาของป.ป.ช. นั่นก็อาจถูกตีความว่า เป็นการยอมรับโดยดุษฎีว่า กระบวนการของป.ป.ช.ที่งวดเข้ามาในจังหวะนี้ กระทบสมาธิของพวกเขาใช่หรือไม่  

หรือเป็น “ลับ ลวง พราง” บ่มเพาะกระแสสังคม เฉกเช่นเดียวกับที่เคยเดินเกมนี้ ในคดียุบพรรคที่ศาลรัฐธรรมนูญ

โดยหากย้อนกลับไป ก่อนหน้าวันที่ 7 สิงหาคม 2567 ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล พวกเขาขอขยายเวลาในการชี้แจงข้อกล่าวหาล้มล้างการปกครอง กรณีเสนอแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ถึง 3 ครั้ง  แม้มองไม่เห็นโอกาสรอดในคดีนี้

กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกล และวาทะของ “ทิม”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่ว่า

“ขอบอกดังๆ ว่า พวกเขาทำอะไรพวกเราไม่ได้ และเราก็ไม่ชินชากับการเมืองแบบนี้ พูดสั้นๆง่ายๆ ตายสิบ เกิดแสน”

ความเชื่อ ของ “พิธา” ที่มองว่าเครื่องมือการยุบพรรคจะทำให้ยิ่งยุบ ยิ่งโต ซึ่งพวกเขามีบทเรียนจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ที่สารถรวบรวมไพร่พลสส. ไปอยู่พรรคการเมืองใหม่คือ พรรคประชาชนได้ชนิดไม่แตกแถว มีเพียงกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิ

แต่ก็ต้องยอมรับว่า “พลพรรคส้ม” อ่อนกำลังลง เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคไม่ว่าจะเป็นรุ่นแรกในชุดของพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคก้าวไกลนั้น ล้วนเป็นแกนนำ ที่มีแสงในตัวเองเมื่อถูกกำจัดให้ไปอยู่นอกสนาม ย่อมส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยม สะท้อนได้จากความพยายามเข้ามาลงสนามเลือกตั้งท้องถิ่น ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พรรณิการ์ วานิช และ “พิธา” ยังไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์ “ตายสิบเกิดแสน” ได้

จากวันที่ 7 สิงหาคม 2567 จนถึงวันนี้ ที่ผลพวงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเริ่มขยับกระชับวงล้อมพลพรรคส้มอีกครั้ง โดยหากพิเคราะห์อย่างสังเคราะห์ การพิจารณาของป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคก้าวไกลเป็นบรรทัดฐาน ซึ่งมีการคาดาการณ์ว่าไม่น่าจะใช้เวลานาน ซึ่งเบื้องต้นมีข้อมูลว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีแบบยกชุด แต่พิจารณาพฤติการณ์เป็นรายบุคคล

ซึ่งหากรายบุคคลที่ว่านั้น เป็นบุคคลที่เป็นแกนนำพรรคในเวลานี้ย่อมสร้างความลำบากให้กับพรรคประชาชนอย่างยิ่ง เฉพาะหน้า หากรายบุคคลนั้นเป็นคนเดียวกันกับ“ขุนพล”ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เป็นเรื่องที่น่าหนักใจ  ด้วยหากป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดและส่งฟ้องศาลฎีกา เมื่อศาลฎีการับฟ้องย่อมมีคำสั่งให้สส.รายดังกล่าวหยุดปฏิบัติหน้าที่

ด้วยหากย้อนไปดูไทม์ไลน์ ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านวางคิวยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจไว้ ก่อนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ซึ่งยังไม่อาจคาดการณ์กำหนดวันอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ว่าจะมีขึ้นเมื่อไหร่ หากเกิดขึ้นก่อนหน้าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นั่นอาจทำให้พรรคประชาชนเกิดความระส่ำระสายก็เป็นไปได้  

จึงไม่แปลกที่พรรคประชาชนจะต้องใช้ “แท็กติก” เบรกเกมของป.ป.ช.เอาไว้ พร้อมกับเปลี่ยนเป้ามาถล่มป.ป.ช.แทน

เพราะต้องไม่ลืมว่า เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น  เป็นเวทีความหวัง ที่พรรคประชาชนจะได้โชว์ผลงานในการตรวจสอบรัฐบาลเพื่อกอบกู้เรตติง

โดยที่ผ่านมาในสนามเลือกตั้งท้องถิ่น ที่พวกเขาทุ่มเทและตั้งเป้าหมายไว้ในการกวาดชัยชนะสนามเลือกตั้งท้องถิ่น กลับปักธงได้เพียงเก้าอี้เดียว

ขณะที่เกมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ถูกเกมเลื่อนญัตติเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อนของพรรคเพื่อไทย และเกม“วอล์กเอาต์” ของส.ส.พรรคภูมิใจไทยและสว.ค่ายสีน้ำเงิน เตะสกัดจนสภาฯล่มในวันแรก และเกมนับองค์ประชุมสภาฯในวันที่สอง ทำให้สภาฯล่มติดต่อกันถึงสองวัน

แม้ญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญจะยังไม่ตกไป แต่ก็เชื่อว่าหมดวาระของสภาชุดนี้จะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยเงื่อนไขที่ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อน แต่การพรรคประชาชนยังดึงดันที่จะยื่นญัตติเข้าสภาฯ ทั้งที่รู้ว่าจะไม่สำเร็จ ทำให้ถูกมองว่าเป็นการวางยาตนเอง “พ่ายศึก เพื่อชนะสงคราม” เพื่อแห่เป็นนโยบายหาเสียงในเลือกตั้งครั้งต่อไป

แต่อีกด้านหนึ่ง ก็น่าคิดว่าการเตรียมความพร้อมในการต่อสู้คดี 44 สส.นั้นมีระยะเวลาเตรียมการคู่ขนานมาก่อนหน้านี้นานหลายเดือนแล้ว การขอขยายเวลา อาจจงใจชี้ให้เห็นถึงนัยทางการเมือง ให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยให้กับสังคมและเชื่อมโยงต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แม้อาจไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยก็เป็นได้เช่นกัน

กระนั้น ที่ร้ายที่สุด คือ หากกระบวนการของป.ป.ช.เดินหน้าไปจนถึงมือศาลฎีกา และศาลฎีกามีคำาพิพากษาในทางลบ “ประหารชีวิตทางการเมือง”ทั้งหมด หรือบางส่วนกระทำความผิด คือถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี และไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญ

โดยเฉพาะหากในจำนวนนั้น เป็นบุคคลที่ยังดำรงตำแหน่งสส. ในปัจจุบัน 25 คน เป็นสส.บัญชีรายชื่อ 17 คน ที่หากต้องคำพิพากษาไปตัดสิทธิรับเลือกตั้งตลอดชีวิต ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งไปโดยไม่สามารถเลื่อนคคลอื่นขึ้นมาแทนได้ เนื่องจากเป็นบัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกลนั้นถูกยุบพรรคไปแล้วขณะที่สส. เขตอีก 8 คนจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมนั้น  ก็จะไม่เหมือนการเลือกตั้งสส.ใหญ่ ที่พรรคร่วมรัฐบาลอาจใช้สูตรเดียวกับในการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่ผ่านมา คือ สู้ตัวต่อตัว เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งคะแนนกัน โอกาสที่ส้มถูกรุมใน 8 เขตเลือกตั้งก็มีไม่น้อย

วลีที่ว่า “ตายสิบเกิดแสน” จึงอาจเป็นเพียงทฤษฎีคำปลุกใจที่สุดท้าย “ตายสิบเกิดศูนย์” ในทางปฏิบัติหรือไม่ ต้องติดตาม

                 

               

               

.