หมายเหตุ : “วาสนา นาน่วม” ผู้สื่ออาวุโสสายความมั่นคง และคอลัมนิสต์ “หนังสือพิมพ์สยามรัฐ”  ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline  เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 มาอัพเดทสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ภายหลังจากที่ รัฐบาลไทยเดินหน้ามาตรการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ด้วยการตัดไฟฟ้า น้ำมัน และอินเตอร์เนต 5 จุดบริเวณชายแดนไทย -เมียนมาที่ผ่านมา

- กองทัพมีแอคชันในเรื่องชายแดนไทย-เมียนมา ทั้งในระดับนโยบายไปจนถึงฝ่ายปฏิบัติการ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

ต้องบอกว่าการลงพื้นที่ของคุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม มีขึ้นค่อนข้างถี่ และเข้มมาก รวมถึงผบ.ทบ. และกองทัพบกได้พาสื่อลงพื้นที่ไปติดตามด้วย ต้องบอกว่าปฏิบัติการครั้งนี้ถือว่ามีความจริงจังมาก ไม่ใช่เรื่องของการลูบหน้าปะจมูก หรือทำตามกระแสเท่านั้น ถือว่าเป็นสเกลใหญ่ เนื่องจากเป็นความร่วมมือของ 3ชาติ คือไทย เมียนมาและจีน เป็นยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค

ถามว่าปัญหานี้ทางฝ่ายความมั่นคง คือกองทัพรู้มาก่อนหรือไม่  เราจะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในช่วง 2ปีนี้ถือว่าหนักมาก ถามว่าฝ่ายความมั่นคงรู้ความเคลื่อนไหวในชเวก๊กโก่ มาก่อนหรือไม่ รู้ปัญหาในพื้นที่อ.แม่สอด จ.ตาก ของไทยหรือไม่ ต้องบอกว่ารู้แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเป็นพื้นที่อยู่ในฝั่งเมียนมา ประการต่อมา บางพื้นที่เป็นเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ประการที่สาม คือเมียนมา มีจีนเป็นแบคอัพอยู่ และจีนคือมหาอำนาจ
           

เพราะฉะนั้นฝ่ายกองทัพจึงได้แต่มอง และติดตามข่าว แต่ส่วนหนึ่งก็อาจจะต้องยกให้เป็นผลงานของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เอาจริง แต่ถามว่า อยู่ๆคุณจะไปเอาจริงเลยได้หรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ ต้องได้รับความร่วมมือกับจีน และนี่คือเหตุผลว่าทำไมจีนจึงต้องมาดูด้วยตัวเอง มาเล่นเรื่องนี้เต็มตัว
           

-มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าถ้าจีนไม่มาเขย่า รัฐบาลไทยก็ไม่ทำ
           

มีการมองกันว่าเรื่องนี้เป็นเพราะจีนกดดันมาหรือไม่ แต่คิดว่าไม่น่าจะใช้คำว่ากดดัน เพราะไทยอยากทำอยู่แล้ว แต่เราเกรงใจจีน เพระจีนเป็นเหมือนพี่ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังเมียนมา แต่เมื่อปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีผลกระทบต่อจีน โดยเฉพาะกรณีดารา จีนที่ชื่อ ซิง ซิง ถูกหลอก นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้จีนหันมาตระหนักเรื่องนี้  ตอนนี้ เรากำลังตรวจสอบว่าน่าจะมีการพูดคุยในระดับสูง ซึ่งอาจจะเป็นคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ หรือระดับผู้นำรัฐบาลกับผู้นำของจีน ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับภูมิภาคแล้ว เพราะฉะนั้นจีนเองก็พยายามทำตัวเป็นพี่ใหญ่ในอาเซียน เช่นกัน ดังนั้นจีนจึงเข้ามาช่วยเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เนื่องจากพลเมืองจีนเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมาก ถ้าจีนไม่บริหารจัดการเรื่องนี้จะกระทบกับประชาชนของเขามาก
           

ประการต่อมาที่ทราบมาก่อนนี้แล้วว่า สี จิ้ผิง ประธานาธิบดีจีน  สั่งการเรื่องปราบจีนเทามาก่อนหน้านี้เป็นปีกว่าแล้ว และเดิมก่อนหน้านี้ไทยเคยมีปัญหาเรื่องจีนเทา กรณีตู้ห่าว ซึ่งประธานาธิบดีจีนบอกเลยว่าจะเอาจริง คิดว่านี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้น แต่พอมีปัญหากรณีดาราซิงซิง ทางการจีนจึงมาจัดการเรื่องนี้เต็มตัว ถึงขั้นส่ง หลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีของจีน มาเอง
           

เพราะฉะนั้นเราจะบอกว่าเป็นเพราะจีนกดดัน เหมือนกับว่าเดิมเราไม่ได้อยากจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ แต่โดยส่วนตัวจะขอใช้คำว่าจีนไฟเขียว และสนับสนุนไทยให้ทำ ถามว่าเรื่องนี้หากไทยทำจนประสบความสำเร็จ คนที่ได้เครดิตคือจีน ตอนนี้คนไทยเองอาจจะไม่มองว่าเป็นผลงาน ของรัฐบาลไทย แต่อาจจะมองว่าจีนซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคเรา มาเต็มตัวขนาดนี้ ก็อาจจะทำให้จากเดิมที่เราเคยมองจีนในแง่ลบ อาจทำให้ความรู้สึกของคนไทยดีขึ้น
           

ครั้งนี้มองว่าจะได้ผล โดยมองจากการส่งเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งในจำนวนนี้บางส่วนอาจจะจงใจ เข้าไปทำงานเพราะรายได้ดี คือมีทั้งคนที่เป็นเหยื่อ และมีคนที่เป็นขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ไหนๆเมื่อมีการปล่อยตัวแล้วก็คงจะไม่มีใครไปตั้งข้อหา รับกลับมาในฐานะเหยื่อ เป็นการบ่งบอกเลยว่าฝั่งเมียนมาเองก็มีการกวาดล้างจีนเทา
           

จากข้อมูลการข่าวของกองทัพ ระบุว่าฝั่งเมียนมามีการตื่นตัวจริงๆ อย่างฝั่งแม่สาย ท่าขี้เหล็ก ถึงขั้นที่พล.ต.โซหล่าย ผอ.ภาคสามเหลี่ยม ถือว่าใหญ่ที่สุดของทหารเมียนมา ได้ลงมาเดินบัญชาการด้วยตัวเอง ในเรื่องการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พวกทุนจีนเทา จึงมีข่าวว่าพวกทุนจีนเทา หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พยายามหนีเข้าไปในเขตเมียนมา  ตอนนี้จากชายแดนมีความพยายามขับไล่กันหมดแล้ว ซึ่งคุณภูมิธรรม บอกเองว่าทางเมียนมาประสานมาว่าจะส่งเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้ไทยได้วันละ 20 รอบ รอบละ 500 คนอย่างน้อย ก็ราวหมื่นคนแล้ว นี่การสะท้อนว่าไม่ได้เป็นแค่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่เป็นอุตสาหกรรม หลอกคน
           

เมื่อวันที่ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. เดินทางไปที่แม่สอด อ.พบพระ จ.ตาก ท่านไปยืนอยู่ที่ชาแดนไทย -เมียนมา แล้วมองไปที่เมืองชเวก๊กโก่ ถามว่าถ้าเราเป็นผบ.ทบ.หรือเป็นทหาร เราจะรู้สึกอย่างไร จึงถามคนในคณะว่ารู้สึกอย่างไรเขาก็บอกว่า เราไปอยู่ไหนมา ทำไมปล่อยให้เขาโตขนาดนี้ ให้เขาสร้างเมืองได้ขนาดนี้  ซึ่งเราต้องแยกแยะว่าการที่สร้างเมืองได้ใหญ่โตขนาดนี้  ก็มาจากการนำเข้าอุปกรณ์การก่อสร้างไปสร้างเมือง เป็นเวลากี่ปีมาแล้ว อาจจะเกิดคำถามว่าผ่านมากี่ปี แต่ฝ่ายความมั่นคง หรือฝั่งประเทศไทยไปทำอะไรอยู่  อย่างที่บอกคือข่าวกรอง เพิ่งจะมาดำเนินช่วง1-2 ปีหลัง แต่ไทยก็ทำอะไรมากไม่ได้
           

เพราะฉะนั้น ถามว่าผู้ประกอบการที่ขนส่ง อุปกรณ์ก่อสร้างหรือเครื่องอำนวยความสะดวก ไปฝั่งเมียนมา ก็เป็นเรื่องของการค้าขาย  เนื่องจากไทยเปิดด่านปกติ เพียงแต่ว่า เราปล่อยให้เขาเอาตึกรามที่เขาสร้างเมืองมา กลายเป็นรังหรือกองบัญชาการ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นี่คือสิ่งที่ทหารไปยืนมองแล้วเจ็บใจ
           

อยากให้จับตามองความร่วมของ3ประเทศคือไทย เมียนมาและจีนในครั้งนี้ จะเป็นระดับยุทธศาสตร์ ซึ่งจะไปเชื่อมโยงกับการที่เราจะเข้าไปแก้ปัญหา เมียนมาในนามอาเซียน  อย่าลืมว่าตอนนี้คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ของอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย และมีรายงานว่า คุณทักษิณ ก็จะพบว่า พล.อ.มิน อ่อง ลาย ผู้นำสูงสุดของเมียนมา ซึ่งทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันอยู่แล้ว หน้าที่ของคุณทักษิณ ที่ได้รับมอบหมายจากนายกฯอันวาร์ ประธานอาเซียน คือการเดินหน้าในเรื่องของสันติภาพ ในเมียนมา
           

เราจะเห็นได้ว่ามาตรการในการตัดไฟฟ้า น้ำมันและอินเตอร์เนต ในฝั่งเมียนมา คนที่ได้รับผลกระทบต่อพวกจีนเทา  แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็จริง แต่ในมาตรการนี้ ชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ก็ได้รับผลกระทบด้วย เพราะฉะนั้น อาจจะมองว่ายุทธศาสตร์นี้ อาจจะมีอะไรซ้อนอยู่ แต่การสร้างความอ่อนแอ ให้กับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมา ยิ่งในช่วงนี้มีการสู้รบ นอกจากนี้รัฐบาลไทย ยังมีนโยบาลซีลชายแดนไทย-เมียนมา สองชั้น ยิ่งทำให้ชายแดนมีความเข้มงวดมากขึ้น 
           

การที่ตามปกติชนกลุ่มน้อย แอบสั่งซื้อโดรนจากฝั่งไทย ไปติดอาวุธแล้วบินถล่มทหารเมียนมา เพราะฉะนั้นมาตรการซีลชายแดนของไทย จึงไม่เป็นผลดีต่อชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้านรัฐบาลเมียนมา บวกกับการที่รัฐบาลไทยตัดยุทธปัจจัย อาจจะส่งผลให้ชนกลุ่มน้อยในบางพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของไทย มีความอ่อนแอลง โดยเฉพาะที่อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นพื้นที่ ที่ทหารเมียนมาสู้รบกับทหารชนกลุ่มตลอด และจังหวะนี้เชื่อว่ารัฐบาลเมียนมาจะใช้ช่วงนี้ เข้าเผด็จศึก
           

แน่นอนว่ารัฐบาลเมียนมาคงไม่สามารถปราบชนกลุ่มน้อย ได้ราบคาบ ด้วยมาตรการของไทย แต่อย่างน้อย ก็จะทำให้ชนกลุ่มน้อยเข้มแข็งลดลงไป และจุดนี้อาจจะไปเชื่อมโยงกับการพูดคุย สร้างสันติภาพในเมียนมา แต่เราก็ไม่รู้ว่าทั้ง3ประเทศนี้มีดีลอะไรกันหรือไม่
           

เพราะล่าสุดหลิว จงอี้ ที่มาประเทศไทย ก็บินไปเนปิดอว์ ไปคุยกับทางเมียนมา และจะกลับมาคุยกับคุณภูมิธรรมอีก เพื่อที่จะมาบอกว่า การที่ไปคุยกับเมียนมามาแล้ว ได้เรื่องอย่างไร เราไม่มองสเกลเล็กแล้ว ไทยอาจจะได้ประโยชน์ในการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์  แต่เมื่อมองไปในสเกลใหญ่คือการร่วมมือกันของ3 ประเทศ ระดับภูมิภาค อาจจะนำไปสู่การแก้ปัญหาในเมียนมาด้วยหรือไม่

- มีสัญญาณจากฝั่งเมียนมาด้วยเหมือนกันใช่หรือไม่ว่าทางฝั่งเมียนมา จะมีการรุกมากขึ้น
           

จุดนี้ทราบว่าทางทหารที่ติดตามความเคลื่อนไหวของกองทัพเมียนมา  บอกว่าการที่เมียนมา เอาเครื่องบินรบ 130 เอามาบินเพื่อปฏิบัติการกับชนกลุ่มน้อย จนทำให้กองทัพอากาศไทย ต้องเอาเครื่องบิน F-16 ขึ้นเพื่อแสดงและส่งสัญญาณว่าอย่าล้ำเข้ามาน่านฟ้าไทย นี่เป็นการสะท้อนว่า เมียนมามีความแข็งแกร่งทางด้านการทหารมากขึ้น
           

เนื่องจากพวกสายยุทโธปกรณ์บอกว่ารัฐบาลเมียนมา ไม่ได้เอายักษ์ 130 เครื่องบินรบ มาใช้บินนานแล้ว  เพราะที่ผ่านมา เราจะเห็นว่าเป็น มิกซ์ 29  แต่การที่เมียนมาเอาเครื่องนี้มาบินเป็นการสะท้อนว่า ระบบการส่งกำลังบำรุง เครื่องบินของเมียนมา ต้องดีขึ้นแล้ว หรืออาจจะตีความได้ว่าเมียนมามีความ พร้อมที่จะปฏิบัติการทางอากาศกับชนกลุ่มน้อย ด้วยเครื่องบินรบหรือระบบที่เตรียมมา
           

ก่อนหน้านี้ หลายเดือนที่ผ่านมา เหมือนการสู้รบผ่อนลงไป แต่ช่วงนี้กลับมาสู่การสู้รบที่อาจจะหนักมากขึ้น
           

-ยุทธศาสตร์การปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นคู่ขนานกับการดำเนินงานด้านความมั่นคงของภูมิภาค ภายใต้โมเดลความร่วมมือของทั้งสามชาติ  และโมเดลนี้จะถูกนำไปใช้กับฝั่งกัมพูชาด้วยหรือไม่ เพราะทางฝั่งด้านนี้ก็มีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วยเช่นกัน
           

นี่คือคำตอบว่าทำไมประเทศไทย จึงเริ่มปฏิบัติการด้านฝั่งชายแดนไทย -เมียนมา ก่อน เพราะเราอาจจะมีดีลหรือมียุทธศาสตร์ที่ต้องประสาน 3 ชาติ เคลียร์ที่เมียนมาก่อน ส่วนทางกัมพูชา อาจจะดำเนินการภายหลัง ซึ่งจะเห็นได้ว่า เริ่มมีปฏิบัติการแล้วที่ปอยเปต นอกจากคุณภูมิธรรม จะลงไปดูในพื้นที่เองแล้วยังมีกองกำลังบูรพา ดำเนินการใช้โมเดลที่แม่สอด เช่นกัน
           

แต่กรณีของกัมพูชา อาจจะไม่เหมือนกับที่อยู่ในดีลนี้ มองว่าทางจีนเองสนับสนุนกัมพูชาอยู่  เพียงแต่สเกลอาจจะไม่ได้ใหญ่เหมือนกับฝั่งเมียนมา ซึ่งจุดนี้ก็ทำให้รัฐบาลไทย โดนโจมตีว่าเพราะมีความสนิทกับผู้นำกัมพูชาหรือไม่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณภูมิธรรม ต้องเปลี่ยนไปลงพื้นที่ที่ฝั่งปอยเปต ด้านสระแก้ว
           

มองว่าไทยจะใช้โอกาสนี้ในการกวาดล้างเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่ไม่หวังผลด้านกัมพูชามากนัก เพราะเราจะเห็นว่าจีนเองก็ไม่ได้ไปกดดันทางฝั่งกัมพูชา ทางฝั่งปอยเปตมีความเจริญ ไม่ได้พึ่งพาไทยมากเท่ากับเมียนมา ต่างจากเมืองชเวก๊กโก่ ที่เพิ่งสร้างมาได้ไม่กี่ปี ยังไม่ได้วางระบบถึงขั้นเลี้ยงตัวเองได้ ดังนั้นทางฝั่งกัมพูชาจึงได้รับผลกระทบน้อย
           

แต่ข้อมูลของฝ่ายความมั่นคง ระบุว่ามีนายพลเขมร ทางฝั่งปอยเปต แน่นอนว่าเขาทำประเทศเดียวไม่ได้ จะต้องมีเครือข่าย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีการพูดถึงเครือข่ายเรื่องของส่วย ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช่เฉพาะฝั่งกัมพูชาอย่างเดียว แต่ฝั่งเมียนมาก็เช่นเดียวกัน การที่เขาจะข้ามแดนไป อำนวยความสะดวกต่างๆ ต้องมีเครือข่ายส่วย  จึงเห็นว่าทำไม จึงมีการย้ายตำรวจ ย้ายตม. เข้าใจว่านี่คือคำตอบว่าทำไมไทยต้องดำเนินการกับทางฝั่งเมียนมาก่อน เพราะเรามองสเกลใหญ่ ส่วนทางกัมพูชา เราต้องช่วยกันกดดัน รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงต้องเอาจริง ต้องทำให้เห็นว่ามีเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถูกส่งตัวกลับมาบ้าง แต่ล่าสุดยังไม่มีรายงานการกวาดล้างจากข้างในเลย
         

-กรณีไทยมีหมายจับหม่อง ชิตตู

เข้าใจว่าจะเป็นการเตือน แต่เมื่อถึงเวลาจริงอาจจะไม่มีหลักฐานอะไรชัดเจน มีรายงานจากทหาร เล่าให้ฟังว่าเครือข่ายหม่อง ชิตตู ที่อยู่ทางฝั่งประเทศไทยมีอยู่  ฉะนั้นจึงมีการมองว่าไทยคงไม่กล้าออกหมายจับหม่อง ชิตตู เพราะกลัวว่าทางหม่อง ชิตตู จะเปิดเผยอะไรตามมาหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวมองว่าการที่ไทยยังไม่ออกหมายจับ เพราะ นี่คือการเตือนก่อน

เนื่องจากเราจะเห็นว่าทางหม่อง ชิตตู มีการสั่งดำเนินการตามมา  เนื่องจากหม่อง ชิตตู พึ่งพาไทยมาก ไม่ต่างจากชนกลุ่มน้อยที่อยู่ตามแนวชายแดน ลูกหลานก็เรียนในไทย บ้านของหม่อง ชิตตู ก็มีในไทย

ดังนั้นถ้าไทยเข้มงวดกับทางหม่อง ชิตตู  มากเขาเดือดร้อน ทั้งในเชิงส่วนตัวและการคุมพื้นที่ ดังนั้นมาตรการของไทยถือว่าได้ผล

 

-การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากนี้จะลดลงได้มากน้อยหรือไม่

            เรื่องนี้เราต้องดูกันยาวๆ เพราะสิ่งหนึ่ง ที่เราห่วงคือจะมีลักษณะของการแกล้งตาย การร่วมมือของชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์ต่อต้านรัฐบาลเมียนมา  บางครั้งเขาจะบอกว่าไม่เกี่ยว แต่อีกด้านหนึ่งเขาเองก็อาจจะมองว่าอีกไม่นานคนก็ลืม เหมือนแกล้งตายไปก่อน เพราะฉะนั้นเราต้องติดตามในระยะยาว ไม่ใช่เราเข้มงวดเฉพาะช่วง2-3 เดือนนี้ ส่วนทางฝั่งเมียนมา มองว่าปฏิบัติการครั้งนี้ส่งผลดีขึ้น เพราะจะทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่อยู่ในเมียนมา น่าจะดีขึ้นสำหรับประเทศไทย แต่ฝั่งกัมพูชายังไม่หวังผล เพราะยังไม่เห็นแรงกระเพื่อม