หลังจาก กระแสเรื่อง เกาะกูด และ MOU 44 ไทย-กัมพูชา เริ่มเงียบไป แต่ชายแดน รอบบ้าน ด้านอื่น ก็กลับมาทะยอยปะทุโดยเฉพาะ ชายแดน เมียนมา และ วนกลับมา ชายแดน กัมพูชา
ขณะที่ การแก้ปัญหาชายแดนใต้ ก็กลับมาถูกโฟกัสหลัง นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ในฐานะ ประธานอาเซียน แต่งตั้ง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาในการแก้ไขปัญหา ในภูมิภาค
ทั้งปัญหาว้าแดง UWSA หลัง ทบ.สั่ง กองทัพภาค 3 แจ้งเตือนให้ ว้าแดง ถอนกำลังออกจาก เขตแดนไทย บริเวณดอยหัวม้า จ.แม่ฮ่องสอน จนมีการปลุกกระแส ให้ กองทัพใช้กำลังขับไล่ และกระแส ปรามาส ทหารไทย ที่ไม่กล้าสู้รบกับ ทหารว้าแดง
จนมาถึง ปัญหาสแกมเมอร์ แก๊งค์คอลล์เซ็นเตอร์ ที่มีรัง อยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา และ ไทย-กัมพูชา หลัง ดาราจีน ตกเป็นเหยื่อ ถูกหลอกให้ข้ามไปฝั่งเมียนมา ส่งผลให้รัฐบาลจีน ตื่นตัว และร่วมมือ กับไทย ในการแก้ปัญหา โดยเฉพาะ ที่เมืองชเวโก๊ะโก่ ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ที่ถูกมองว่า เป็นรังของแก๊งค์คอลล์เซ็นเตอร์
ถึงขั้นที่ ส่ง นาย หลิว จงอี้ ผช.รมต.ความมั่นคงของ จีน มาแก้ปัญหานี้กับ รัฐบาลไทย และ บินไปเจรจากับ เมียนมา ในการแก้ปัญหา จนนำมาซึ่ง การกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ครั้งใหญ่ และต้องมีการรับตัวผู้ที่เป็นเหยื่อและร่วมขบวนการกลับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะชาวจีน ที่นาย หลิว จงอี้ เดินทางมารับด้วยตนเอง
แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ชายแดนไทย-เมียนมา ร้อนระอุ ขึ้นมา จาก มาตรการตัดไฟ ตัดอินเmอร์เน็ต ตัดน้ำมัน ที่ชายแดนรอบบ้าน โดย เฉพาะฝั่งเมียนมา ส่งผล กระทบต่อชนกลุ่มน้อยต่างๆ
ขณะที่ นายทักษิณก็เดินสายทำหน้าที่ที่ปรึกษาประธานอาเซียนทั้งการไปพบกับ นายอันวาร์ ที่มาเลเซีย และการไปพบหารือกับนายกรัฐมนตรีบรูไน ที่มีเป้าหมายสำคัญในเรื่องของการสร้างสันติภาพในเมียนมา
ที่ส่งผลให้ถูกจับตามอง ถึงข้อตกลงระหว่างอาเซียน กับ พลเอก มิ่น อ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า โดยอาศัยคอนเน็คชั่นส์ของนายทักษิณ
โดยมีการเชื่อมโยงว่า มาตรการตัดไฟ ตัดอินเตอร์เน็ต ตัดน้ำมันจากปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะส่งผลให้กองกำลังชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดน อ่อนแอลง ในขณะที่รัฐบาลทหารพม่าก็เสริมความแข็งแกร่งของตนเองมากขึ้นทุกขณะ
โดยเฉพาะกำลังทางอากาศที่เมียนมา ได้รับเครื่องบิน SU30 จากรัสเซีย 4 เครื่อง รวมทั้งการใช้เครื่องบิน YAK 130 มาบินปฏิบัติการต่อกลุ่มต่อต้านฯ ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา
นอกจากนี้ ทักษิณ ยังเดินทางลง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 23 ก.พ.2568 เพื่อเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบหลังจากที่ได้มีการหารือ กับนายอันวาร์ แล้ว หลังจากที่รัฐบาลสั่งทบทวนยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้และให้สภาความมั่นคงแห่งชาติทบทวนและร่างแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาฉบับใหม่ขึ้นมา รวมทั้งมีแนวคิดที่จะดัดแปลงนโยบายใต้ร่มเย็น 66 / 23 ในอดีตมาใช้
ขณะที่ชายแดนไทย-เมียนมา ยังระอุอยู่ ชายแดนไทย-กัมพูชาก็ร้อนแรงขึ้นมาทันใด จากกรณีพล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ ผบ.พลน้อย ร.42 นำ คณะแม่บ้านชาวกัมพูชา ขึ้นไป และมีกสนร้องเพลงปลุกใจทหารกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จน ทหารไทยต้องเข้าไปห้าม เพราะผิดข้อตกลงของทั้งสองประเทศ ทำให้ พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ ผบ.พลน้อย ร.42 ไม่พอใจ พูดจาท้าทาย ให้ยิงกัน
จนทำให้มีการปลุกกระแสมนโซเชี่ยลฯ เขมร ยกย่องเชิดชูวีรกรรมอันกล้าหาญของ พล.ต.เนี๊ยะ วงษ์ ผบ.พลน้อย ร.42 เป็นฮีโร่ที่กล้าพูดตอบโต้ทหารไทย ส่วน โชเชี่ยลฯไทย ก็ตำหนิ กัมพูชา พร้อม เชียร์ทหารไทย ให้ใช้กำลัง ในการปกป้องอธิปไตย และบางกระแสก็ตำหนิทหารไทยกองทัพภาค2 ที่ยอมให้ทหารเขมรมาทำเช่นนี้
ทำให้ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องเร่งตัดจบปัญหา ด้วยการพูดคุยกับ พลเอก เตีย เซรยฮา รมว. กลาโหมกัมพูชา
โดยนายภูมิธรรมระบุว่า รมว. กลาโหมกัมพูชา และพล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้แสดงความเสียใจ และทางกัมพูชาไม่มีเจตนาให้เกิดขึ้น และพยายามหาทางแก้ไข
นายภูมิธรรม บอกผ่านสื่อว่า ขอไม่ให้ขยาย ให้บานปลายออกไปจนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ ขออย่ามองทุกอย่างเป็นประเด็นทางการเมือง
หลังจากมีการนำประเด็นนี้ไปเชื่อมโยง กับความสัมพันธ์ ของนายทักษิณ กับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ที่ ยอมอ่อนข้อให้เขมร มาตลอด จนต้องเสียดินแดน
ก่อนที่จะมีการจัดอีเวนท์ให้ทหารไทย และทหาร กัมพูชาพบปะพูดคุยสงบศึกกัน ที่ ปราสาทตาเมือนธม เพื่อลดบรรยากาศความตึงเครียดที่แนวชายแดน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาต่างๆเหล่านี้ ส่งผลให้บทบาทของ นายภูมิธรรม ในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม ถูกตั้งคำถาม ในเรื่อง ความสามารถในการแก้ไขปัญหาความมั่นคงโดยเฉพาะเป็นเรื่องระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านมากน้อยแค่ไหน
แต่ก็ถือว่า นายภูมิธรรม สามารถแก้ปัญหาได้รวดเร็วในทุกเรื่อง แม้จะไม่ได้มีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องการทหาร หรือความมั่นคงมากนัก แต่นายภูมิธรรม ใช้หลักการบริหารในการประสานพูดคุยอย่างรวดเร็ว แม้จะยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จและยั่งยืนแต่ก็สามารถลดอุณหภูมิลงได้
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะสถานภาพของนายภูมิธรรมถูกมองว่าเป็นคนใกล้ชิดของอดีตนายกฯ ทักษิณ อีกทั้งสถานภาพของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ยัง “ดีล” กับขั้วอนุรักษ์นิยมอยู่ต่อไป ที่ทำให้ฝ่ายทหารเองก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเต็มที่ ในการร่วมแก้ไขปัญหา
ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีที่มีข่าวลือถึงการเปลี่ยนตัว รมว. กลาโหม โดยมีชื่อของนายสุทิน คลังแสง อดีต รมว. กลาโหมพลเรือนจะ คัมแบ็คกลับมาอีกครั้ง หรือแม้แต่ชื่อของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมว. เกษตรฯ ที่ปัจจุบัน กลายเป็นมือขวาอีกคนหนึ่งของอดีตนายกกฯ ทักษิณ
แต่มีรายงานว่า นายภูมิธรรมมั่นใจว่าจะไม่ถูกปรับออกจากกลาโหมอีกทั้งแนวร่วมจากผู้บัญชาการเหล่าทัพที่สนับสนุนการทำหน้าที่ของ ภูมิธรรม ที่ทำงานได้รวดเร็วและมีพาวเวอร์