การหารายได้ให้กับประเทศถือเป็นเรื่องสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งมีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการหารายได้ให้กับประเทศ หนึ่งในนั้น คือ “กรมธนารักษ์” มีหน้าที่ในการบริหารทรัพย์สินของประเทศ อาทิ พื้นที่ของราชพัสดุ ,การบริหารเงินตรา และเหรียญกษาปณ์ ,โรงกษาปณ์ ,ทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน และการประเมินราคาทรัพย์สิน
และทั้งนี้ตั้งยอมรับว่าการบริหารจัดการทรัพย์สินที่เป็นของประเทศ เป็นเรื่องสำคัญ และละเอียดอ่อนอย่างมาก เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง!!!
ซึ่งที่ผ่านมาการบริหารจัดการค่อนข้างที่จะยุ่งยาก ไม่ทั่วถึง และล้าสมัย จำเป็นที่ต้องมีการพัฒนาบริหารจัดการให้มีความทันสมัย และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
โดยเป้าหมายกรมธนารักษ์ในการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2568 ตั้งเป้าไว้ที่ 10,600 ล้านบาท!!!
ทั้งนี้ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ได้สัมภาษณ์ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส” อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวถึงการพัฒนาการบริหารจัดการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกรมธนารักษ์ว่า ได้เตรียมประชุมจัดทำมาสเตอร์แพลน แผนบริหารจัดการทรัพย์สินของกรมธนารักษ์ทั่วประเทศในสัปดาห์หน้า เพื่อยกระดับทรัพย์สินของรัฐ จากที่ราชพัสดุ 12.5 ล้านไร่ แบ่งเป็น 1. มาสเตอร์แพลนยกระดับสินทรัพย์เชิงสังคม ด้วยการนำที่ราชพัสดุ จัดสรรสร้างเป็นที่อยู่อาศัย รองรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รายได้ปานกลางในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ตามนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาบ้านอยู่อาศัยให้กับประชาชน
2. มาสเตอร์แพลนยกระดับสินทรัพย์เชิงเศรษฐกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนต่อทรัพย์สินให้สูงขึ้น ด้วยการเดินหน้าประเมินราคาที่ดินรายแปลงทั่วประเทศ โดยขณะนี้การประเมินที่ดินรายแปลงทำได้ร้อยละ 50 ของที่ดินทั้งหมดทั่วประเทศ เพื่อให้ราคาประเมินของกรมธนารักษ์สะท้อนกับราคาตลาดในปัจจุบันมากขึ้น เมื่อมีการโอนทรัพย์สิน ทำให้มียอดเงินกู้เพื่อค้ำประกันกับธนาคารได้เพิ่มขึ้น และภาครัฐมีรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่ม โดยเฉพาะการประเมินที่ดินตามเส้นทางถนนตัดใหม่ ผ่านหลายพื้นที่ทำให้มีราคาที่ดินเพิ่มขึ้น โดยจะใช้ระบบดิจิทัล เช่นดาวเทียมพิสูจน์พื้นที่ได้ละเอียดมากขึ้น รวมไปถึงการทบทวนสัญญากับภาคเอกชน หรือหน่วยงานต่างๆ เพื่อใกล้ครบสัญญาสัมปทาน ต้องนำมาศึกษาดูว่า จะต้องปรับค่าเช่าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไร
และ3. มาสเตอร์แพลนยกระดับสินทรัพย์เชิงวัฒนธรรม เช่น ”พิพิธตลาดน้อย“ ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับกรมเจ้าท่า หวังร่วมกับชุมชนใกล้เคียง พัฒนาท่องเที่ยวชุมชน ผ่านวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของชาวจีน ทำให้มีทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย แวะมาเยือน เพื่อนำไปพัฒนาเป็นพลังซอฟต์พาวเวอร์ ดึงรายได้จากการท่องเที่ยวตามนโยบายรัฐบาลในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
สำหรับพิพิธตลาดน้อย พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งใหม่ของกรมธนารักษ์ หนึ่งในโมเดลของการนำที่ดินมาใช้เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ควบคู่กับการอนุรักษ์วัฒนธรรมและสังคมให้คงอยู่
ผ่านการบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่และชุมชน ชูสถานที่สำคัญ ของดีของเด่นและอาหารอร่อยในพื้นที่ ส่งเสริม Soft Power และกระตุ้นการท่องเที่ยว ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท.3870 โฉนดที่ดินเลขที่ 763 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 214.50 ตารางวา
โดยกรมธนารักษ์ได้พัฒนาและปรับปรุงโรงกลึงขนาดใหญ่ทำชิ้นส่วนประกอบเรือ เครื่องจักรและโรงสีข้าว ภายหลังเลิกกิจการ พื้นที่ถูกทิ้งร้างและไม่ได้ใช้ประโยชน์ นำมาพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ร่วมกับสถาบันอาศรมศิลป์และชาวชุมชนตลาดน้อย ปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ราชพัสดุแปลงนี้ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการท่องเที่ยว จัดแสดงเทศกาลการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนย่านตลาดน้อย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยสะท้อนอัตลักษณ์และสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน นำไปสู่ความภูมิใจและสร้างความเข้มแข็งของชุมชนตลาดน้อย ตลอดจนภารกิจของกรมธนารักษ์ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ปัจจุบันพิพิธตลาดน้อยเปิดให้บริการฟรี ในวันอังคาร - วันศุกร์ เวลา 08.30 – 16.30 น. วันเสาร์ - วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00 – 18.00 น. ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในชุมชนตลาดน้อยที่ในปัจจุบันเป็นที่นิยมต่อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เพราะเป็นที่ที่รวบรวมข้อมูลสำคัญ สถานที่ไฮไลต์ และของดีของเด่นของชุมชน
“กรมธนารักษ์” หน่วยงานที่สำคัญในการหารายได้ให้กับประเทศ!!!
ครั้งนี้มาพร้อมกับการพัฒนาบริหารจัดการทรัพย์สินของประเทศยุคใหม่!!!