คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์   เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อว่าที่ผ่านมามีอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯถึง 6 ท่าน เคยได้รับเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โดยในช่วงที่สหรัฐฯเพิ่งเป็นประเทศใหม่ เริ่มต้นตั้งแต่ “ประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน” เรื่อยไปจนถึงสี่สิบปีแรกๆ ดูเหมือนว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯทุกคนล้วนแต่มีประสบการณ์และยังมีความเชี่ยวชาญทางด้านต่างประเทศแทบทั้งสิ้น

และขณะนี้สหรัฐฯก็มีรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่แต่เป็นนักการเมืองหน้าเก่าชื่อว่า “มาร์โก รูบิโอ” โดยที่ผ่านมาเขาก็เคยเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ในการแข่งขันเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน เพื่อที่จะไปลงเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯด้วยเช่นกัน!!!

ตอนที่มีการแข่งขันเพื่อที่จะเข้าไปลงเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีค.ศ. 2016 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขนานนามวุฒิสมาชิกมาร์โก มาริโอ อย่างล้อเลียนรูปร่างของเขาว่า “อ้ายเตี้ย” ส่วนรัฐมนตรีต่างประเทศคนปัจจุบันก็มิได้นิ่งเฉย โดยเขาได้สวนตั้งชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ตอบกลับไปว่า “อ้ายอ้วน” แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาๆของแวดวงการเมือง

รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่มาร์โก รูบิโอ ผู้นี้มิได้ถือกำเนิดเกิดในสหรัฐอเมริกา แต่เขาได้อพยพติดตามบิดามารดามาจากประเทศคิวบาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุแค่ 8 ขวบ เมื่อปีค.ศ. 1956 สมัยที่ “นายกรัฐมนตรีฟิเดล คาสโตร” ก้าวขึ้นสู่อำนาจ

ครอบครัวของมาร์โก รูบิโอ ไปพำนักอาศัยทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ที่ลาสเวกัส โดยบิดาของเขายึดอาชีพเป็นบาร์เทนเดอร์ ส่วนมารดาทำงานเป็นคนทำความสะอาดในโรงแรม ต่อมาพวกเขาตัดสินใจย้ายไปยังฟลอริดา ในเขตบริเวณชุมชนของผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวคิวบา

มาร์โก รูบิโอ จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่ “มหาวิทยาลัยฟลอริดา” และจบด้านกฎหมายที่ “มหาวิทยาลัยไมอามี” ด้วยการกู้เงินรัฐบาลเพื่อการเรียน โดยเขาเพิ่งจะปลดเงินกู้ 150,000 ดอลลาร์ ด้วยการขายหนังสือที่เขาเป็นผู้เขียนไปเมื่อเร็วๆนี้ นับว่าเขาเป็นนักการเมืองที่ไม่ค่อยมีบาดแผลทางการเมืองมากนัก!!!

 มาร์โก รูบิโอ มีแววว่าจะรุ่งทางด้านการเมืองมาตั้งแต่สมัยวัยหนุ่ม ในวัย 34 ปีเขาสามารถไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯของรัฐฟลอริดา และในปีค.ศ. 2010 เขาก็ได้รับเลือกให้เข้าไปดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ และยังได้รับเลือกตำแหน่งวุฒิสมาชิกในสมัยที่สามเมื่อปีกลายอีกด้วย

ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่คณะกรรมการผู้กลั่นกรองของวุฒิสภาลงมติรับรองวุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ แบบเอกฉันท์ด้วยคะแนน 99 ต่อ 0

มาร์โก รูบิโอ เป็นชาวลาตินคนแรกที่สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีฯต่างประเทศ โดยขณะนี้มีชาวลาตินอาศัยอยู่ในสหรัฐฯถึง 20%

ทั้งนี้วุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ  เริ่มกลายเป็นดาวการเมืองที่ฉายแววโดดเด่นตั้งแต่เขาเริ่มก้าวเข้าดำรงตำแหน่งวุฒิสมาชิก เนื่องจากเขามักจะออกมาชูธงนำเสนอให้มีการปฏิรูปอิมมิเกรชันและสนับสนุนในเรื่องมนุษยธรรม แต่ทว่าในอีกมุมหนึ่งเขากลับมีนโยบายต้องการที่จะต่อต้านจีนแบบสุดโต่งออกหน้าออกตา

เพราะเหตุนี้นี่เองรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ จึงมีงานท้าทายที่กำลังรอพิสูจน์ตัวเขาอยู่ข้างหน้าหลายๆเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “องค์การความช่วยเหลือระหว่างประเทศ”(USAID)ที่มีพนักงานทำงานถึง 140,000 คนโดยเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นในเรื่องมนุษยธรรม ก่อตั้งขึ้นโดย “ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี”เมื่อปีค.ศ. 1961 เพื่อหวังจะให้องค์กรนี้เป็นแขนเป็นขาและเป็นกระบอกเสียงของสหรัฐฯด้านความมั่นคงของประเทศ ขณะนี้องค์กรนี้แพร่ขยายทำงานไปทั่วโลกมากถึง 141 ประเทศ ที่สภาคองเกรสจัดสรรงบให้กับองค์การนี้เป็นเงินถึง 58.4 พันล้านดอลลาร์

แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดแบบคาดการณ์ไม่ถึงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการผลักดันจาก “อีลอน มัสก์”เพื่อนคู่หูคนใหม่ให้ยุบองค์การสำคัญไปเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 แถมยังสั่งลอยแพแบบไม่แยแสกับพนักงานกว่า 14,000 คนที่กระจายไปทั่วโลก จนสร้างความปั่นป่วนต่อกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯมากเป็นประวัติการณ์ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้แต่งตั้งให้รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ ให้รับตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การ USAID พ่วงเพิ่มเข้าไปอีกด้วย

และถึงแม้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะสั่งยุบองค์การช่วยเหลือระหว่างประเทศนี้แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาในครั้งนี้มีชาวอเมริกันถึง 51% ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยโดยมีแค่เพียง 25% เท่านั้นที่เห็นชอบด้วย

ตอนนี้ “ผู้พิพากษารัฐบาลกลางคาร์ล นิโคลส์”ที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อปีค.ศ. 2019  วางตัวเป็นกลางพิพากษาให้พักคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์นี้ไปชั่วคราว ซึ่งแน่นอนว่าในเรื่องนี้จะต้องมีการต่อสู้กันทางกฎหมายกันอย่างยาวนาน โดยไม่ทราบเลยว่าจะจบลงเมื่อใด!!!

อีกทั้งขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้มอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ เดินทางไปประเทศในแถบตะวันออกกลาง เพื่อหาทางเจรจากับผู้นำของประเทศเหล่านั้นยอมรับข้อเสนอที่จะให้ฉนวนกาซาอยู่ในความครอบครองของสหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้ที่ผ่านมาในอดีตฉนวนกาซาเคยอยู่ในความครอบครองของอียิปต์ แต่ในปี 1948 ต้องสู้รบทำสงครามกับอิสราเอล เมื่อครั้งที่อิสราเอลประกาศเอกราช

ณ ปัจจุบันนี้ฉนวนกาซามีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ราวๆสองล้านกว่าคน โดยประธานาธิบดีทรัมป์มีความต้องการที่จะให้อาณาเขตบริเวณฉนวนกาซานี้เปลี่ยนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และบังคับให้ชาวปาเลสไสตน์โยกย้ายไปยังประเทศจอร์แดน และประเทศอียิปต์

อนึ่งจากรายงานของ “สำนักหยั่งเสียงData for Progress” เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 ที่เปิดเผยออกมาว่า ชาวอเมริกันถึง 64% ต่อต้านประธานาธิบดีทรัมป์ แต่มี 27% ที่เห็นด้วย

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2025 รัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอได้เดินทางเข้าไปพบปะกับ “นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู”ของอิสราเอล ซึ่งต้องเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่ผู้นำของอิสราเอลจะเห็นพ้องด้วยในการที่จะให้สหรัฐฯเข้าไปครอบครองบริเวณฉนวนกาซา

โดยจุดหมายต่อไปของรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ ก็คือเดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียเพื่อเจรจาในเรื่องการที่สหรัฐฯจะเข้าไปครอบครองฉนวนกาซา และเจรจาในเรื่องหาทางที่จะยุติสงครามยูเครน

และเมื่อลองประมวลข้อมูลจากประเทศจอร์แดนและอียิปต์ รวมไปถึงกลุ่มประเทศอาหรับ ดูแล้ว จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเขาแสดงอาการไม่เห็นด้วยและต่อต้านความคิดเห็นของประธานาธิบดีทรัมป์ในการที่จะเข้าไปยึดครองฉนวนกาซา

ส่วนประเด็นการยุติสงครามยูเครน ก็เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ต้องการที่จะให้ทั้งยูเครนและกลุ่มประเทศในแถบทวีปยุโรปเข้าไปร่วมเจรจา สืบเนื่องจากเขาต้องการที่จะเจรจากับ

“ประธานาธิบดีวลาดีเมียร์ ปูติน” แห่งรัสเซียเป็นการส่วนตัวนั้น ก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากหลายๆประเทศอีกด้วยเช่นกัน!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นดูเหมือนว่าขณะนี้ “รัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ” ที่เพิ่งจะก้าวเข้าไปรับตำแหน่งใหม่มาดๆไม่นานมานี้ จะต้องเผชิญกับงานหนักเยี่ยงหินที่แสนจะท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นแผนการที่จะยึดฉนวนกาซาให้ตกเป็นของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจรจาเพื่อยุติสงครามยูเครนที่ขณะนี้รัสเซียเข้าไปยึดครองอยู่ 20% และยุโรปก็ต้องการเข้าไปมีผลประโยชน์ร่วม อีกทั้งยังมีประเด็นที่คิดจะผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ และยึดเอาคลองปานามากลับไปเป็นของสหรัฐฯ ฉะนั้นหากรัฐมนตรีต่างประเทศรูบิโอเกิดสะดุดทำอะไรผิดพลาดก็อาจเป็นโอกาสที่จะทำให้พรรคเดโมแครตได้เข้าไปคุมเสียงข้างมากในการเลือกตั้งกลางสมัยอีกสองปีข้างหน้า และหากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็ย่อมจะทำให้การทำงานบริหารประเทศของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” พบกับความยุ่งเหยิงพัลวันจนเกินแก้ละครับ