“ภูมิธรรม” เชื่อไม่เกิดรอยร้าว “ภท.-กล้าธรรม” หลัง “อนุทิน” ถูกตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟ โยงที่สปก. ยัน “ดินเนอร์” พรรคร่วม รบ.ไม่ต้องเคลียร์ใจ ด้าน “อนุทิน” เผย “ธนดล” ขอโทษแล้ว ขู่ถ้าไม่ผิด คนกล่าวหาต้องรับความเสี่ยงถูกฟ้อง ปัดเคลียร์ใจ “ธรรมนัส-กล้าธรรม” ชี้เรื่องส่วนตัว แค่ลงบัญชีกันไป ย้ำปมโยงที่ดินทับที่ส.ป.ก.ให้เป็นเรื่องของกฎหมาย ยันซื้อขายสุจริต “สว.อังคณา” ลุยชงญัตติป่วยทิพย์ “ชั้น 14” วันนี้ ลั่นสิทธิการรักษา “ผู้ต้องขัง” ต้องเท่าเทียม  ส่วน “นายกฯอิ๊งค์” ยกคณะบินลงใต้ ก่อนประชุม ครม.สัญจรสงขลา 18 ก.พ.นี้ จ่อทุ่มงบ 302 ล้านฟื้นฟูน้ำท่วม-ส่งเสริมท่องเที่ยว-อนุรักษ์พันธุ์ปลาอิรวดี 402 ล้าน

เมื่อวันที่ 17 ก.พ.68 เมื่อเวลา 09.30 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้ออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยาน จังหวัดตรัง ตำบลโคกหล่อ อำเภอเมือง เพื่อเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ.นี้ 

ด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ว่า ในเรื่องของการอนุมัติงบประมาณในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย โดยจังหวัดสงขลาจะมีงบประมาณฟื้นฟูสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้องกรณีน้ำท่วม เมื่อเดือน พ.ย. 67 วงเงิน 302 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส ประมาณจังหวัดละ 100 ล้านบาท ที่ส่วนใหญ่จะเป็นการคืนพื้นที่ถนนหนทาง สร้างเขื่อนริมคลองต่างๆ ที่ชำรุดทรุดโทรมเสียหาย 

นายจิรายุ กล่าวว่า ทั้งนี้ในส่วนจังหวัดสงขลาจะมีการสนับสนุนการท่องเที่ยว การอนุรักษ์ทางธรรมชาติ โดยจะพิจารณางบงบประมาณ 402 ล้านบาท เพื่อดูแลโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา โดยเป็นแผนระยะ 5 ปี ถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ปลาอิรวดี นอกจากนี้ที่ประชุม ครม. จะพิจารณาเรื่องการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่จบมัธยมปลายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย

นายจิรายุ กล่าวว่า ภายหลังการประชุม ครม.ในวันที่ 18 ก.พ. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างถนนเชื่อมด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัมของประเทศมาเลเซีย ที่ด่านศุลกากรสะเดา ตำบลสำนักขาม อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา โดยด่านสะเดาแห่งใหม่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ เนื่องจากมีรอยต่อระหว่างไทยกับมาเลเซียเป็นระยะทางประมาณ 300 เมตร ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียทำถนนเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยเราจะทำถนนต่อเนื่องไปหลังด่านศุลกากรไทย ฉะนั้นจึงจะมีการพูดคุยกันเรื่องนี้ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเสนองบไว้ 28 ล้านบาท ถ้ารัฐบาลพิจารณาแล้วจะสามารถใช้ได้หรือไม่อย่างไร ก็จะได้เร่งเปิดให้บริการ เพื่อลดความแออัดด่านสะเดาเดิม

ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย  รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟเขาใหญ่ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย จะเป็นความขัดแย้งหรือรอยร้าวระหว่างพรรคภูมิใจไทย (ภท.)กับ พรรคกล้าธรรม(กธ.)หรือไม่ ว่า อย่าไปคิดว่าเป็นรอยร้าว ตนคิดว่าถึงแม้จะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันก็ตาม หากมีสิ่งใดที่เป็นประเด็นปัญหาที่ประชาชนสงสัย หรือประเด็นที่คาดว่าจะผิดกฎหมาย ก็มีหน้าที่ต้องตรวจสอบ รัฐบาลไม่มีหน้าที่ปกป้องความผิดให้กันและกัน ก็ต้องดำเนินการไปตามวิถี ตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนว่าเราจะทำงานกันอย่างไรเป็นคนละเรื่องกัน ตราบใดที่ยังเป็นรัฐบาลร่วมกัน ก็ทำงานร่วมกันได้ทุกอย่าง

 “ต้องแยกจากการตรวจสอบ ไม่ใช่ว่าเป็นรัฐบาลร่วมกัน แล้วช่วยกันปกปิด ช่วยกันดำเนินการ มันไม่ใช่วิถีที่ควรเป็น”  นายภูมิธรรม กล่าว เมื่อถามว่าการ เกิดเรื่องนี้ในช่วงใกล้อภิปรายไม่ไว้วางใจ จะเกิดปัญหาอะไรกับรัฐบาลหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ไม่มีปัญหา ถ้าทุกคนมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองมีอย่างถูกต้อง ก็สามารถเอาข้อมูลมาชี้แจงให้สังคมรับทราบ เพราะสภาก็มีหน้าที่ตรวจสอบตามกระบวนการอยู่แล้ว

เมื่อถามต่อว่าการกินข้าวพรรคร่วมรัฐบาล ในวันที่ 25 ก.พ.นี้พรรคภูมิใจไทยเป็นเจ้าภาพ จะต้องมีการเคลียร์ใจของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า มันไม่มีปัญหาต้องเคลียร์ใจ เพียงแต่เพียงว่าเข้าใจกันไหม  ถ้ายังไม่เข้าใจเรื่องไหนก็บอกกันเท่านั้นเอง และความจริงๆก็คุยกันอยู่แล้ว

ส่วน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณี ที่ดินสนามกอล์ฟเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา จนเกิดวิวาทะ “หน้าตัวเมีย” และวันนี้นักจัดรายการชื่อดังออกมาน้อมรับ โดยตอบสั้นๆว่า “อืม” เป็นเรื่องที่เข้าสู่กระบวนการแล้ว เป็นเรื่องของหน่วยงานรัฐ ทุกฝ่ายบอกมาแล้วว่าประชาชนที่ได้ที่ดินมาในพื้นที่บริเวณนั้น ทุกคนถือโฉนดที่ดินทั้งนั้น ได้มาด้วยความสุจริต

นายอนุทิน กล่าวว่า ส่วนที่มาของโฉนดจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของหน่วยงานราชการ ต้องไปพิสูจน์ทราบ ทั้งกรมที่ดิน ส.ป.ก. และนิคมในส่วนของพม.เข้ามาด้วย ดังนั้นถ้าอยู่ในกระบวนการของระบบราชการแล้ว ตนก็ไม่สามารถ ที่จะให้ความเห็นอะไรได้ ต้องปล่อยให้หน่วยงานราชการต้องทำงานพิสูจน์ทราบต่อไป และเมื่อออกมาอย่างไรไม่มีใครขัดต่อกฎหมายได้

ส่วนกรณีที่รายการข่าวดังกล่าว ออกมาพาดหัวถึงการฟอกขาว “มรดกบาป นค.3” ให้เป็นโฉนดให้กับนายทุน นายอนุทิน มองว่า เขาอาจเรียนประวัติศาสตร์ เพราะส่วนใหญ่ที่ตนทราบจากอธิบดีกรมที่ดิน เรื่องการเปลี่ยนที่ดินจากนิคม ต่างๆหรือที่ ส.ป.ก. เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น 50 - 60 ปีมาแล้ว ซึ่งคนที่ถือครองปัจจุบันนี้ก็ซื้อผ่านการโอนโฉนด มีพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ตามหน้าโฉนดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการซื้อขายเหล่านั้นเป็นการซื้อขายโดยสุจริต กรมที่ดินรับโอนรับค่าธรรมเนียม ผู้ขายยินดีขาย ผู้ซื้อยินดีซื้อ ทุกอย่างจบในเรื่องของการซื้อขายเปลี่ยนมือ ถือเป็นเรื่องสุจริต แต่ต้องไปดูว่าออกโฉนดมาได้อย่างไร ทำไมถึงไม่มีการตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนออกโฉนด และเหตุใดจึงปล่อยให้มีการเปลี่ยนมือ หรือซื้อขาย รับค่าธรรมเนียมมามากมายไปหมด ซึ่งมีประเด็นที่ต้องตรวจสอบอีกมากมาย

เมื่อถามว่าประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองจะสะดวกใจทำงานร่วมกับพรรคกล้าธรรมในรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า การทำงานรับใช้บ้านเมือง ต้องไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง ส่วนใครจะทำอะไรเตะเจาะยาง หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียชื่อเสียง คนที่กล่าวหามาก็มีสิทธิ์กล่าวหา เพราะเขาบอกทำเพื่อประชาชน ส่วนคนที่ถูกกล่าวหาก็มีหน้าที่พิสูจน์ทราบว่าถูกต้องอย่างไร


“ถ้าถูกต้อง คนที่กล่าวหาก็ต้องรับความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง เพื่อขอความเป็นธรรมต่างๆ แต่ตรงนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เป็นเรื่องที่เล็กมาก ไม่มีสาระสำคัญอะไร การทำงานในความเป็นรัฐบาล เราต้องมองผลประโยชน์ของประเทศ และประชาชนเป็นหลัก เรื่องส่วนตัวก็อย่างที่บอก ใครก็ลงบัญชีกันไป” นายอนุทิน กล่าว

สำหรับความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีรายงานข่าวว่า นายอนุทิน ไปร่วมงานแต่งที่มีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมร่วมด้วย แต่ไม่ทักทายกัน นายอนุทินกล่าวว่า ก็เจอ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็เข้ามาทักทายยกมือไหว้อย่างสุภาพ นอบน้อมและบอกว่า สิ่งไหนที่ล่วงเกินไป ต้องขออภัยด้วย เขาก็ทำตามหน้าที่ ซึ่งตนได้บอกว่าเต็มที่เลย ถ้ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ก็ดำเนินการไป แล้วถ้ามีอะไรถูกต้องก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับพี่ด้วย ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเคลียร์กับพรรคกล้าธรรม การเมืองก็อย่างนี้แหละ ถ้าแค่นี้ทนไม่ได้ก็เล่นการเมืองไม่ได้  ว่าเป็นเรื่องปกติของการเมือง ของคนที่มีฐานเสียงแข็งแรงอย่างที่ตนเคยบอก และเปรียบเป็นเหมือนภูเขาทอง ส่วนคำว่าหน้าตัวเมีย ด่าใครนั้น นายอนุทิน ปฏิเสธที่จะตอบ ได้แต่ยิ้ม และทำเสียงหึหึ


ขณะที่ นายคารม  พลพรกลาง  สมาชิกพรรคภูมิใจไทย  กล่าวว่า  การที่นายธนดล  สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับการกรณี ที่ได้ตรวจสอบที่ดิน สปก. บริเวณอำเภอปากช่อง  โดยกล่าวหาว่าว่ามีโรงแรม  มีรีสอร์ท บุกรุก  ที่ดิน สปก.  แต่หลักการตรวจสอบนั้น ถ้ายังไม่มีหลักฐานชัดเจน  และยังไม่ได้มีการดำเนินคดีในชั้นศาลจนเป็นที่ยุติ  แต่ออกมากล่าวหาก่อนมีเจตนาอะไร สิ่งที่นายธนดลกำลังดำเนินการอยู่นั้น  ทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่  ตามมาตรา 4 ของพ.ร.บ.การปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม  พ. ศ. 2518  ใช่หรือไม่  หรือในฐานะอะไรหากประชาชนที่อาศัยอยู่ในนิคมสร้างตนเองลำตะคอง ตามพ.ร.ฐ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ  พ. ศ. 2511  และครอบครองที่ดินตามตรา 11 จนเกิน  5 ปี แล้ว ได้นำที่ดินมาออกเป็นโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน  สปก. จะเพิกถอนที่ดินของประชาชนหรือคนที่ซื้อที่ดินจากประชาชนเหล่านั้นได้ไหม ที่คุณธนดลฯ บอกว่ามีการขยายแนวเขตนิคมสร้างตนเอง  จนทับซ้อน กับที่ดิน สปก.นั้น   มีหลักฐานอย่างไร  และเป็นการขยายโดยชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย  การขยายแนวเขตเกิดขึ้นได้อย่างไร

นายคารม กล่าวต่อว่า นายธนดล  ที่กำลังดำเนินการตรวจสอบที่ดิน สปก. อยู่ขณะนี้  ใช้อำนาจอะไรเรียกบุคคลอื่นๆ  มาพบ หรือในการเรียกเอกสารต่าง ๆ  ใช้อำนาจอะไร  ในการเรียกมา เพราะเท่าที่ทราบ  คุณธนดล ฯ ไม่ใช่กรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งเรื่องต่าง ๆ ที่อ้างว่าตรวจสอบอยู่  ก็ไม่ได้อยู่ในชั้นศาล  จึงถามว่านายธนดล  ฯ  เอาอำนาจอะไร  มาเรียกเอกสาร  หรือบุคคลต่างๆ  ให้มาพบหรือให้ส่งเอกสารต่าง ๆ

"ผมชื่นชมเข้าใจในการทำงานที่นายธนดล ฯ บอกว่ามีเจตนาปกป้องที่ดิน  สปก. และทวงคืนที่ดินสปก. เพื่อนำที่ดินไปให้เกษตรกร และนายอนุทิน  ชาญวีรกูล พร้อมให้ตรวจสอบตามกระบวนการของกฎหมาย แต่อย่ามาเลือกปฏิบัติ หรือกล่าวหาแบบมั่ว  ๆ  และคลุมเครือ ซึ่งวิธีการทำงานที่ทำอยู่ในขณะนี้ ทำให้สังคม เข้าใจว่าคนที่มีที่ดินอยู่บริเวณดังกล่าว ดูเป็นคนผิดไปแล้ว  ขออย่ามาทำตัวเป็นศาล นายอนุทิน เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  มีทั้งความรู้ ความสามารถ  มีความอาวุโส  มีสถานะทางสังคม  นายอนุทิน ฯ นั้นมีชื่อเล่น  ว่า “ หนู ” ไม่ได้ชื่อ“ หมู ผมทราบท่านเป็นนักฎหมาย ที่เก่ง    เป็นคนหนุ่มไฟแรง  อย่านำกฎหมายเป็นเครื่องมือเป็นอาวุธฟาดฟันคนอื่น กฎหมายมีไว้เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง จะรับใช้ใครขอให้ดูตาม้าตาเรือหน่อย   ที่ออกมาพูดดังกล่าว  คิดเองใช่ไหม“ นายคารม กล่าว

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า ในวันที่ 18 ก.พ.นี้ ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 16 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง)  เวลา 09.30น. มีวาระที่น่าสนใจ เป็นเรื่องที่เสนอใหม่ ลำดับที่ 6.2 ญัตติ เรื่องขอให้วุฒิสภาพิจารณาหาแนวทางปฏิบัติในการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่จะได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน  โดยนางอังคณา นีละไพจิตร  สว. เป็นผู้เสนอ มี สว.ผู้รับรองญัตติ 4 คน ได้แก่ นาวาตรี วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ นายธนกร ถาวรชินโชติ นายโชติชัย บัวดิษ นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย นายเดชา นุตาลัย

โดย นางอังคณา  ระบุในเอกสารญัตติ ว่า ตามที่ปรากฏในสื่อทั่วไปว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้มีการนำตัวผู้ต้องขังคนสำคัญส่งไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากแพทย์มีความเห็นว่าผู้ต้องขังดังกล่าวป่วยเป็นโรคหัวใจ ซึ่งต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษเนื่องจากมีความเสี่ยงต่อชีวิตอีกทั้งต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แต่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพโดยโรงพยาบาลตำรวจได้รับตัวผู้ต้องขังคนสำคัญดังกล่าวไว้เพื่อทำการรักษา ซึ่งกรมราชทัณฑ์รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องได้ชี้แจงต่อสังคมว่าการส่งตัวผู้ต้องขังคนสำคัญไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมายแล้ว

อย่างไรก็ตาม ประชาชนก็ยังมีข้อกังขาว่า ผู้ต้องขังคนสำคัญนี้ป่วยจริงหรือไม่ หรือป่วยเป็นโรคอะไร มีการผ่าตัดหรือไม่ แ