“ภูมิธรรม” เผย “หลิว จงอี้” เข้าเมียวดีจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นข้อตกลงร่วม ยัน มีการประสานรบ.ไทย ชี้ หมายจับ “หม่องชิตตู” ดีเอสไอยังไปต่อ ด้าน “ตำรวจไซเบอร์”เร่งขยายผลล่า“นายทุน-ผู้บงการ” เอี่ยวขบวนการแก็งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อเวลา 06.45 น. วันที่ 17 ก.พ.68 ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน6 (บน.6 ) ดอนเมือง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา จะต้องส่งผ่านกลับประเทศไทย หรือให้แต่ละประเทศไปรับที่เมียนมาเลย ไฟ ว่า ล็อตที่จะกลับมาล่าสุดต้องผ่านประเทศไทย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบและคัดกรอง เสร็จแล้วทางจีนจะรับตัวส่วนหนึ่งออกไป แต่ส่วนใหญ่ที่เราตกลงกัน ทั้งจีน เมียนมา และไทย โดยทางเมียนมา ได้ทำหนังสือมายังฝ่ายทหาร และกระทรวงต่างประเทศของไทย หลังจากนี้จะนำตัวทุกคนเข้าสู่กระบวนการของเมียนมา ในการจัดการทั้งหมด ซึ่งไทยจะเป็นเพียงผู้สนับสนุน ถ้าอะไรที่คิดว่าจะผ่านประเทศไทย ก็ให้มีการประสาน เราก็พร้อมสนับสนุน ซึ่งตอนนี้เรารับผิดชอบในการปราบตัวการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อถามว่า หากทางจีนส่งเครื่องบินไปรับคนของเขากลับประเทศ ฝ่ายไทยอาจไม่สามารถหาตัวการแก๊งคอลเซนเตอร์ได้ นายภูมิธรรม กล่าวว่า “จับได้ เราร่วมกันทั้งหมด ประสานกัน อยู่ในส่วนไหนก็ให้ส่วนนั้นจัดการ ถือเป็นงานที่เราตกลงหน้าที่กันเรียบร้อย“
เมื่อถามถึง กระแสวิจารณ์ใครเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรับตัวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขั้นตอนการคัดกรองว่าใครคือเหยื่อหรือสมัครใจ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ใครเป็นเหยื่อ หรือใครสมัครใจไปเอง เป็นกระบวนการทำงาน คงพูดไม่ได้ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ของไทยข้ามไปคัดกรอง มีกระทรวงการพัฒนาสังคมและคงามมั่นคงของมนุษย์ และอีกหลายกระทรวง เข้าไปร่วมด้วย หลังจากข้ามมาฝั่งไทยแล้ว ทางจีนก็เตรียมเครื่องบินมารับที่แม่สอด ค่าใช้จ่ายจึงไม่เกี่ยวกับไทย
เมื่อถามถึง กระแสวิจารณ์การลงพื้นที่ของ นายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เหมือนมาจัดการเรื่องนี้โดยไม่ผ่านรัฐบาลไทย นายภูมิธรรม กล่าวว่า เขาไม่ได้จัดการเอง เพราะได้ตกลงกันตั้งแต่ที่เขามาเยี่ยมผมแล้ว โดยหลังจากที่เขาได้พบกับ รมว.มหาดไทยเมียนมา และได้พูดคุยผ่านโทรศัพท์กับตนแล้ว ในวันที่ 19 ก.พ.นี้ ตนจะพบกับ นายหลิว จงอี้ อีกครั้ง เพื่อสรุปการทำงานและหารือกันต่อ ซี่งเรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เราทำงานร่วมกันมา 2 เดือนแล้ว ระหว่างไทย เมียนมา และจีน วันนี้เรารับผิดชอบเรื่องคอลเซ็นเตอร์ หลังจากนี้เมื่อมาตรการได้ผลแล้ว ต้องดูว่าสามารถจัดการได้เต็มที่หรือไม่ ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการที่รัฐบาลเมียนมา หรือชนกลุ่มน้อย ที่เข้ามาจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ให้เขาดำเนินการไปเลย
เมื่อถามถึง การออกหมายจับพล.ต.ชิต ตู เลขาธิการ บีจีเอฟ หรือ ผู้บัญชาการกองทัพกะเหรี่ยงแห่งชาติ ยังดำเนินการต่อไปหรือไม่ หลังจากที่เขาออกมาช่วยจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นายภูมิธรรม กล่าวว่า การออกหมายจับหรือไม่ ยังไม่ใช่ประเด็นของเรา เรื่องพล.ต.ชิต ตู เป็นเรื่องเก่า ที่มีการประสานงานกันอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ได้ประสานงานไป เรื่องนี้ยังดำเนินต่อไปอยู่ หม่องชิตตูก็ทำหน้าที่ของเขาโดยประสานงานกับจีน เราคงพูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้
วันเดียวกัน คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นาย รังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ. ลงพื้นที่ตรวจสอบท่าข้ามสินค้าหมายเลข34 (ท่าศาลเจ้า) อยู่ห่างจากชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี ประมาณ 5 กิโลเมตร ซึ่งการลงพื้นที่วันนี้ ทาง กมธ. จึงตั้งใจที่จะรวบรวมข้อมูล ช่องว่าง ข้อมูลเชิงลึกจากคนในพื้นที่ให้ได้มากที่สุดเพื่อหาทางออกว่าท่าข้ามธรรมชาติต้องผิดทำการเหมือนการตัดการจ่ายไฟ หรือน้ำมันหรือไม่และหากท่าข้ามเหล่านี้เปิดต่อจะต้องมีแบบแผนอย่างไรไม่ให้ลักลอบขนย้ายของผิดกฎหมาย หรือเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มธุรกิจคอลเซ็นเตอร์โดยตรง
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงกรณีการเดินทางมาของ นายหลิว จงอี พร้อมคณะว่า ไม่อยากสรุปว่ารัฐบาลไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะต้องยกให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม ขอฝากไปถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ติดตามเรื่องหมายจับ หม่องชิตตู เพราะถือว่าการที่ออกหมายจับนี้มีความจำเป็นต่อการรักษาความน่าเชื่อถือต่อประเทศไทย