เมื่อเวลา 03.00 น.วันที่ 8 ม.ค.61 พ.ต.ท.โอสถ ผ่าโผน สว.(สอบสวน)สน.มีนบุรี ได้รับแจ้งเหตุมีผู้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต ที่ศาลาริมทางใกล้ปากซอยคลองสามวา 4 ถนนคลองสามวา แขวงคลองสามวา เขตมีนบุรี กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) แพทย์นิติเวช รพ.ตำรวจ อาสากู้ภัยร่มไทรและอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เกิดเหตุภายในศาลาริมถนนพบศพนายปราโมย์ เอี่ยมอร่าม อายุ 50 ปีสภาพศพนอนตะแคง สวมเสื้อยืดแขนสั้น สีน้ำเงิน กางเกงยีนขายาว จากการตรวจสอบมีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าที่ขมับขวา 1 นัดกระสุนฝังใน นอนจมกองเลือด ที่ข้างลำตัวพบอาวุธปืนขนาด .357 แบบลูกโม่ ตกอยู่ 1 กระบอก ในลูกโม่มีกระสุนขนาด.357 อีก 5 นัดและคาอยู่ในรังเพลิง 1 นัด เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำศพส่งสถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ ดำเนินการต่อไป จากการสอบสวนนายปรีชา จรัสโสภา อายุ 42 ปี พยานให้การว่า ผู้ตายทำงานช่างกลึง ผลิตเครื่องจักรกล อยู่บริษัทแห่งหนึ่ง ในซอยคลองสามวา 33 โดยก่อนเกิดเหตุช่วงประมาณ 01.56 น.ผู้ตายส่งข้อความไลน์มาหาแฟนตน สั่งเสียให้ดูแลลูกสาวกับภรรยา และบอกจะฆ่าตัวตายที่ศาลาริมถนนคลองสามวา ซอย 4 ตนจึงพากันขี่รถจยย.ตามมาดูก็พบว่า ผู้ตายใช้อาวุธปืนยิงตนเองเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากความเครียดในเรื่องส่วนตัว ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ตายได้เลิกลากับแฟนสาวได้ 4 เดือนและเคยบอกเครียดปัญหาหนี้สิน ซึ่งผู้ตายก็เคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งหนึ่ง จนกระทั่งมาก่อเหตุในครั้งนี้ ด้าน น.ส.วรีรัตน์ เอี่ยมอร่าม อายุ 21 ปีลูกสาว ได้เดินทางมาที่เกิดเหตุและร้องร่ำไห้ กล่าวทั้งน้ำตาว่า พ่อได้เลิกลาและแยกทางกันแม่ มานานแล้ว และทราบว่าพ่อตนได้มีแฟนใหม่ จากนั้นก็ได้เลิกลาและแยกทางกันอีก ส่วนพ่อได้มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ที่ทำงานในซอยคลองสามวา 16 โดยช่วงประมาณตี 1 ที่ผ่านมา พ่อส่งข้อความไลน์มาหา และสั่งเสียให้ดูแลตัวเอง ส่วนสาเหตุนั้นพ่อฆ่าตัวตายนั้นคาดว่าเครียดเรื่องที่เลิกลากับแฟนคนใหม่ และเรื่องการเงินปัญหาหนี้สิน พ.ต.ท.โอสถ กล่าวว่า จากการสอบสวนพยานซึ่งเป็น รปภ.ของหมู่บ้านใกล้ที่เกิดเหตุ ทราบว่าได้ยินเสียงปืนดังขึ้น จึงออกมาดูพบว่าผู้ตายนอนเสียชีวิต ภายในศาลาริมถนนแล้ว รวมทั้งยังพบอาวุธปืนตกอยู่ เจ้าหน้าที่ พฐ.จึงได้เก็บลายนิ้วมือไว้เป็นหลักฐาน ส่วนสาเหตุคาดว่าคงเครียดเรื่องปัญหาส่วนตัวและเรื่องการเงินหนี้สิน ซึ่งจะทำการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง