วันที่ 17 ก.พ.68 ที่รัฐสภา หอสมุดรัฐสภา จัดเวทีเสวนา เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ... กับบริบทสังคมไทย หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้เผยแพร่ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ.... ฉบับที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วาระที่1 เพื่อรับฟังความเห็นของประชาชนผ่านเว็ปไซต์ เมื่อ 15 ก.พ. จนถึง 1 มี.ค.

โดย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานที่ปรึกษาของรมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า จากร่างกฎหมายที่สำนักงานกฤษฎีกาปรับปรุงและเผยแพร่รับฟังความเห็นนั้น ตนหนักใจ เพราะเนื้อหาของร่างกฎหมายไม่ตรงปก เนื่องจากชื่อกฎหมายคือสถานบันเทิงครบวงจร แต่รายละเอียดคือ กาสิโน ทั้งนี้ในรายละเอียดแม้กฤษฎีกาจะแก้ไขรายละเอียดบางประเด็น ซึ่งเป็นการใส่เทคนิคเล็กน้อย  เช่น กำหนดสัดส่วนระหว่างสถาบันเทิงครบวงจร  90% ขณะที่กาสิโน 10% แต่ยังมีความไม่ชัดเจนว่าจะมีการเปิดเป็นจำนวนเท่าไร ภูมิภาคใด แต่กำหนดให้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา คือ กฎหมายลำดับรองที่ออกโดยฝ่ายบริหาร หากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ ทั้งนี้ตนเข้าใจกฤษฎีกาต้องการความเข้มข้น จากเดิมที่ออกเป็น มติบอร์ดสถานบันเทิงครบวงจร 

“ผมเห็นด้วยกับการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร แต่ต้องกำหนดสัดส่วน และขนาดให้ชัดเจน รวมถึงต้องกำหนดรายละเอียดให้ดี เพราะหากจะทำสถานบันเทิงครบวงจรในพื้นที่ใด ถือว่าเป็นการสร้างเมืองใหม่ ดังนั้นต้องมีความพร้อมสำหรับความร่วมมือในการป้องกันปัญหา เช่น ตำรวจ ท้องถิ่น  แต่ร่างที่ปรับปรุงนั้นไม่มีการเชื่อมโยงระหว่าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึง ฝ่ายปกครอง นอกจากนั้นการเขียนกฎหมายแบบนี้เท่ากับว่าให้ไลเซ่นที่ไม่มีราคา แต่กลับทำให้เป็นปัญหาสังคม” นายอรรถวิชช์ กล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวด้วยว่าในร่างกฎหมายดังกล่าว กำหนดให้มีบัญชีแนบท้าย เกี่ยวกับการทำธุรกิจในสถานบันเทิงครบวงจร 10 ธุรกิจ พร้อมระบุว่าหากทำ 4 ธุรกิจต้องรวมทำคาสิโนด้วย แต่ที่น่าสังเกตคือ ตัดศูนย์ประชุมออกไป 

“ประเด็นศูนย์ประชุม ที่ไม่ใส่เพราะกังวลว่าจะทำให้ผู้ประกอบการทำศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ในกทม. ในพื้นที่เมืองทองธานี และบางนา มีปัญหาหรือไม่ กฎหมายมีความหลวมในเชิงนโยบาย ผมกลัวเขียนไม่ดี กฎหมายเปิดช่องให้กาสิโนและการพนันเข้าสู่ระบบถูกต้องตามกฎหมายต้องระวังสูงเพื่อไม่ให้เละเทะ ผมอยากเห็นธุรกิจสถาบันเทิงครบวงจร มีศูนย์ประชุม สามารถเวทีแสดงขนาดใหญ่ได้ เพราะเป็นช่องทางเผยแพร่ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยด้วย

แต่ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวเท่ากับขายไลเซ่นบ่อน ไปยังหลายภูมิภาค ซึ่งอันตราย แบบนี้ต้องทำร่างประกบ หลักการอาจเหมือนกัน คือ เขียนให้มีการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร วาระหนึ่งอาจจะเห็นร่วมกันได้ แต่ในการพิจารณาวาระสองและวาระสามต้องต่อสู้กันหนัก” นายอรรถวิชช์ กล่าว

ขณะที่ นายธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่าเนื้อหาที่สำนักงานกฤษฎีการับฟังความเห็นนั้นหลังจากแก้ไขปรับปรุงนั้น ไม่ตรงปกเพราะร่างกฎหมายเขียนล็อกใช้คำว่าสถานบันเทิงครบวงจรมีคุณสมบัติคือ 4 กิจการร่วมกับกาสิโน เท่ากับบังคับให้ต้องทำคาสิโนร่วมด้วย ทั้งนี้กฤษฎีกาปรับปรุง ระบุว่าผู้ประกอบการบางรายไม่ทำคกสิโนก็ได้ แต่รายละเอียดรวมถึงแนวคิดอื่นๆไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดีมีประเด็นที่กังวล คือ การขาดหายของธรรมาภิบาล การตรวจสอบและถ่วงดุล 

“ฉบับนี้เปลี่ยนแปลงคือให้อำนาจนโยบายจำนวนมาก เท่ากับการตีเช็คเปล่า นอกจากนั้นแล้วยังให้ตั้งคณะอนุกรรมการให้ทำงานแทนกรรมการนโยบายและให้ถือว่าการทำงานของอนุกรรมการเป็นการดำเนินงานแทนบอร์ดใหญ่ โดยไม่กำหนดคุณสมบัติของผู้เป็นอนุกรรมการ ซึ่งกฤษฎีกาทำกฎหมายรัดกุมหรือหละหลวมกันแน่” นายธนากร กล่าว

นายธนากร กล่าวด้วยว่า คุณสมบัติของเลขาธิการคืออาจจะเป็นผู้เคยดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำงานในสถานคาสิโนก็ได้ ที่เว้นการดำรงตำแหน่งมาแล้ว  1 ปี ก็ได้ ทั้งที่ควรรักษาระยะห่างฐานะเป็นฝ่ายตรวจสอบ ดังนั้นประเด็นนี้ถือว่าเป็นข้อกังขา