เมื่อวันที่ 15 ก.พ.68 เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว โพสต์เฟสบุ๊กระบุว่า

อ่านยาวๆ ครับ

คดี ‘ฆ่ายกครัว 3 ศพ’ พ่อ-แม่-ลูก 7 ขวบ เพื่อนสนิทน้องชายผู้เป็นแม่ สารภาพแล้ว ยิง 3 ศพ อ้างเอาปืนมาจำนำ แล้วผู้ตายไม่ให้เงิน ก่อนส่งข้อความลวงไปให้น้องชายผู้ตาย ผลชันสูตรทั้ง 3 คน ถูกยิงที่ศีรษะทั้งหมด เผย ช่วงมีข่าวพบศพ คนร้ายยังแชร์ข่าว-แชร์คลิปกล้องวงจรปิดสุดท้ายของครอบครัวผู้ตาย ราวเป็นห่วงเป็นใย แถมส่งไลน์หานักข่าว ทำทีให้เบาะแสพยายามชี้นำว่าน้องชายผู้ตาย เป็นคนนำสร้อยทองของผู้ตายไปจำนำ แถมทำทีเดินมาคุยกับนักข่าวในจุดเกิดเหตุ ต่อว่าฆาตกรว่า “โหดเหี้ยม ทำได้อย่างไร”

กำแพงเพชร: คดีสะเทือนขวัญ นายวงศกร อายุ 37 ปี, น.ส.นันทกานต์ อายุ 35 ปี และ ด.ช.นัทกร อายุ 7 ปี  พ่อ-แม่-ลูก ถูกฆาตกรรมหมกศพในรถกระบะ แล้วนำไปจอดไว้หน้าบ้านร้าง คลุมผ้าปิดรถมิดชิด ในพื้นที่ ต.คลองขลุง อ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร โดยทั้ง 3 คน หายออกจากบ้านไปตั้งแต่เย็นวันที่ 12 ม.ค.68  จนวันที่ 16 ม.ค.68 ญาติจึงประกาศตามหาผ่านโซเชียล และแจ้งความที่ สภ.คลองขลุง  กระทั่งวันที่ 13 ก.พ.ผ่านไป 1 เดือนเต็ม มีชาวบ้านไปพบศพทั้ง 3 คน ภายในรถกระบะ และนำไปสู่การค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ โดยตั้งปมถูกฆาตกรรมอำพราง รวมทั้งคาดว่า บุคคลที่ก่อเหตุ น่าจะเป็นบุคคลใกล้ชิดกับผู้ตายทั้ง 3 รายด้วย

ล่าสุด ตำรวจภูธรภาค 6 , ตำรวจภูธรจังหวัดกำแพงเพชร และตำรวจ สภ.คลองขลุง รวมกันสืบสวนหาพยานหลักฐาน กระทั่งสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุและผู้ร่วมก่อเหตุได้แล้ว โดยผู้ก่อเหตุ คือ เพื่อนของน้องชาย น.ส.นันทกานต์ ผู้ตาย ที่อ้างว่า แค้นที่เอาปืนมาจำนำกับนายวงศกร แต่นายวงศกรไม่ยอมให้เงิน จึงลงมือฆ่ายกครัว ไม่เว้นแม้แต่เด็ก 7 ขวบ

ย้อนเส้นทางการสืบหาพยานหลักฐานคลี่คลายคดี  หลังจากพบศพวันที่ 13 ก.พ. ตำรวจเรียกพยานเข้ามาให้ปากคำ โดยเฉพาะนายศิริชัย หรือ ‘บอล’ น้องชายของ น.ส.นันทกานต์ ผู้ตาย  ซึ่งให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า มี SMS ที่อ้างว่าเป็นพี่สาวส่งมา  แต่เบอร์โทรศัพท์ที่ส่งข้อความมา ไม่ใช่เบอร์ของพี่สาว และเนื้อหาข้อความก็มีจุดที่ผิดสังเกต เช่น เรียกน้องซันเดย์ ลูกชายว่า ‘ไอ้อ้วน’ เรียกนายวงศกร สามีว่า ‘มัน’ ซึ่งนายบอล บอกว่า จำข้อความทั้งหมดไม่ได้ เพราะข้อความถูกลบไปแล้ว แต่เชื่อว่า ข้อความดังกล่าว เป็นคนร้ายที่ส่งมาลวงว่าเป็นพี่สาว

วานนี้ (14ก.พ.68) เจ้าหน้าที่ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของนายบอล พบเบอร์โทรศัพท์ (088-965-4471) ส่งข้อความผ่าน SMS มาหานายบอล เมื่อเวลา 22.25 น. ภายหลังจากที่ครอบครัวไปแจ้งความคนหาย  ระบุว่า

“พี่แจงนะ ไปแจ้งความทำไม เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่โต พี่มาทำธุระกับพี่ใหม่ มันมารอเอาเงินอยู่ตีนเขา พรุ่งนี้ตอนค่ำๆ ก็กลับแล้ว ดูบ้านด้วยนะ ตื่นเปิดร้านด้วย บอกพ่อด้วยไม่ต้องห่วงทางนี้ เค้าไม่ให้ใช้โทรศัพท์ เลยต้องพิมพ์ฝากข้อความนี้ให้คนอื่นออกไปส่ง ไม่ต้องให้ใครรู้นะว่าพี่มาทำอะไรกัน ไปถอนแจ้งความเลย เดี๋ยวพี่ใหม่จะโดนตรวจสอบการเงินเอา ลาครูให้ไอ้อ้วนด้วย ใครมาฝากเงินก็จดไว้ให้หน่อย เดี๋ยวพี่กลับไปเคลียร์เอง อ่านแล้วก็ลบด้วย ไม่ต้องติดต่อกลับมานะ พรุ่งนี้ได้โทรศัพท์คืน เดี๋ยวโทรไปเอง”

ส่วนฝั่งของนายบอล น้องชาย พิมพ์ตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องบอกใช่ไหม” แต่ข้อความของนายบอล ส่งไปไม่ได้

นอกจากนี้  เมื่อวานนี้ (14 ก.พ.68) เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ โดยจุดที่พบรถจอดทิ้งไว้ เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในบ้านร้างทั้ง 2 หลัง , ตรวจสอบบ่อน้ำที่อยู่ใกล้จุดจอดรถ ลึกประมาณ 8 เมตร แต่มีน้ำอยู่ประมาณครึ่งบ่อ (4 เมตร) จึงใช้รถดูดส้วมมาดูดน้ำออก เพื่อค้นหาก้นบ่ออย่างละเอียด ว่ามีพยานหลักฐานซ่อนอยู่ในบ่อหรือไม่  ส่วนด้านหลังบ้านร้าง มีสระน้ำขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 20 เมตร เจ้าหน้าที่ชุดประดาน้ำ ก็ลงดำน้ำค้นหาว่าจะมีอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุทิ้งอยู่ในสระหรือไม่ รวมทั้งใช้กำลังเจ้าหน้าที่ เดินเรียงแถวหน้ากระดาน เพื่อหาพยานหลักฐานอย่างละเอียด แม้ชิ้นเล็กที่สุดก็ตาม เช่น ก้นบุหรี่ กระป๋องกาแฟ และอื่นๆ ที่น่าสงสัย เพื่อนำไปตรวจสอบ

จากนั้น ช่วงบ่าย พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ประชุมชุดสืบสวน โดยมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ใช้เครื่องมือค้นหาโทรศัพท์ระยะใกล้ หรือ เครื่องด๊อง มาใช้สะกดรอยเส้นทางการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ส่วนการชันสูตรศพ ก็พบความชัดเจนว่า ทั้ง 3 คน ถูกยิงที่ศีรษะทั้งหมด แต่ยังบอกไม่ได้ว่า ถูกยิงทั้งหมดคนละกี่นัด ต้องรอผลชันสูตรอย่างละเอียด

พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ  รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 แถลงว่า เจ้าหน้าที่เชิญน้องชายผู้ตายมาสอบปากคำเพิ่มเติม ในประเด็น SMS  และนำตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบปากคำ โดย ‘ผู้ต้องสงสัย’ รายนี้ให้การว่า นำปืนมาจำนำกับผู้ตาย ซึ่งตำรวจเชื่อว่าเป็นปืนกระบอกเดียวกับที่ใช้ยิงผู้ตาย และผู้ต้องสงสัยรายนี้ มีความสนิทสนมกับนายบอล น้องชายของผู้ตายด้วย โดยปืนที่คาดว่าใช้ก่อเหตุ คือ ปืนบีบีกันดัดแปลง ซึ่งเป็นปืนที่ผู้ตายครอบครองอยู่ แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่พบปืนกระบอกดังกล่าว  

ส่วนเรื่องเบอร์โทรศัพท์ปริศนา เป็นเบอร์ที่ลงทะเบียนซิมโดยแรงงานชาวเมียนมา โดยคนไทยที่ยังเป็นปริศนา ซื้อซิมมาใช้ ส่งข้อความหาน้องชายผู้ตาย และยังมีเบาะแสเชื่อมโยงไปถึงบุคคลอื่นๆ ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจเรียกตัว นายศิวกร อ่อนเกตุ หรือ โน๊ต เพื่อนของนายบอล น้องชายของผู้ตาย มาสอบปากคำนานกว่า 6 ชั่วโมง เพราะมีข้อมูลว่า เป็นคนที่นำปืนมาให้ผู้ตาย โดยอ้างว่านำปืนมาจำนำกับผู้ตาย

จนกระทั่งเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่คุมตัวนายศิวกร หรือ โน๊ต มาเก็บดีเอ็นเอและตรวจร่างกายเพื่อหารอยตำหนิต่างๆ ซึ่งระหว่างที่ถูกคุมตัวออกจากห้องเก็บพยานหลักฐาน ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายศิวกร ว่ามาให้ปากคำเรื่องอะไร แต่นายศิวกร ตอบว่า ตนไม่ใช่ผู้ต้องหา ยังไม่มีความผิด แค่มาให้ปากคำกับตำรวจเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามถึงการนำปืนไปจำนำผู้ตาย แต่นายศิวกรไม่ยอมตอบคำถาม และเมื่อถามว่า ได้โทรออก หรือรับสายเบอร์ปริศนาของชาวเมียนมาหรือไม่ นายศิวกร เผลอตอบมาว่า ตนโทรเป็นปกติทุกวันอยู่แล้ว แต่พอผู้สื่อข่าวย้ำว่าเบอร์โทรปริศนา นายศิวกรเหมือนได้สติ มีอาการเอะอะ และไม่ได้ตอบคำถามอะไรอีก แต่พูดสั้นๆ ว่า  “ผมก็รู้พร้อมๆ กับพวกพี่” ก่อนจะเดินเข้าห้องสอบสวนไปอีกครั้ง

กระทั่ง เวลา 19.20 น. มีรายงานว่า นายศิวกร หรือนายโน๊ต ผู้ต้องสงสัย ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้สังหาร 3 พ่อแม่ลูก โดยอ้างว่าได้เอาปืนไปจำนำกับผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ให้เงิน จึงโกรธและลงมือฆ่า โดยยืนยันว่าทำคนเดียว แต่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ

คำสารภาพของนายศิวกร อ้างว่า ไม่พอใจที่นายวงศกร ผู้ตาย บอกว่าจะให้ยืมเงิน 1 แสนบาท เพื่อไปลงทุนทำธุรกิจทางการเกษตร แต่เมื่อลงทุนไปแล้ว ผู้ตายทำเฉยไม่ให้เงิน วันเกิดเหตุ มีการทวงถามเงินอีก แล้วเกิดทะเลาะวิวาท ก่อนจะคว้าปืนของตัวเองที่จำนำไว้กับผู้ตายและอยู่ในรถผู้ตาย เอามายิงนายวงศกร เสียชีวิตเป็นคนแรก จากนั้นยิงภรรยาและลูกชาย เพื่อฆ่าปิดปาก เพราะครอบครัวผู้ตายรู้จักตนเป็นอย่างดี

หลังจากยิงทั้ง 3 คนแล้ว ก็โทรไปหา ‘นายเข้’ ให้มาช่วยยกศพขึ้นรถ แล้วพากันออกไปจากจุดเกิดเหตุ เพื่อเอาทองของผู้ตายไปขาย  ที่ร้านทองแห่งหนึ่ง โดยเจ้าของร้านทองโอนเงิน 1 แสนบาทเข้าบัญชีธนาคารนายศิวกร 

นายศิวกรอ้างว่า ทั้งหมดเป็นเหตุซึ่งหน้า ไม่ได้มีการวางแผนมาก่อน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนายศิวกร จะรู้จักกับครอบครัวผู้ตายเป็นอย่างดี เพราะเป็นเพื่อนสนิทของน้องชายผู้ตายแล้ว ช่วงที่มีข่าวพบศพผู้ตาย นายศิวกร ยังแชร์ข่าวและแชร์คลิปกล้องวงจรปิดภาพสุดท้ายของครอบครัวผู้ตาย  ทำราวกับว่า ตนเองเป็นห่วงเป็นใยครอบครัวผู้ตาย

นอกจากนี้ ช่วงเวลาประมาณตีหนึ่ง (14 ก.พ.68) นายศิวกร ส่งไลน์มาหาผู้สื่อข่าว ทำทีเป็นมาให้ข้อมูลเบาะแส โดยพยายามชี้นำว่า นายบอล หรือนายโป๊งเหน่ง น้องชายของผู้ตาย เป็นคนนำสร้อยทองของผู้ตายไปจำนำ แต่เมื่อผู้สื่อข่าวเปิดเผยข้อมูลการสอบสวนของตำรวจ นายศิวกร ก็เลยพูดบ่ายเบียงไปว่า หากมีอะไรจะรีบมาแจ้งผู้สื่อข่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ ช่วง 11.00 น.  ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวกำลังติดตามทำข่าวในจุดเกิดเหตุ นายศิวกร เดินเข้ามาคุยกับผู้สื่อข่าว ต่อว่าฆาตกรว่า “โหดเหี้ยม ทำได้อย่างไร” และพยายามเดินวนเวียนอยู่ในจุดเกิดเหตุ

หลังจากนายศิวกร หรือ นายโน๊ต ยอมรับสารภาพ ว่าเป็นคนยิงและมีการซัดทอดไปถึงผู้ที่ช่วยเหลือหลังก่อเหตุ  ช่วงค่ำวานนี้ (14 ก.พ.68) ตำรวจคุมตัวผู้ต้องสงสัยอีกราย คือ นายนิรุธ หรือ ‘นายยศ’ ซึ่งนายศิวกร ให้การว่า นายยศ คือคนที่ซื้อซิมโทรศัพท์จากชาวเมียนมา และเป็นคนส่งข้อความ SMS ไปบอกน้องชายของผู้ตาย

ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายยศว่า รู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ แต่เจ้าตัวปิดปากเงียบ ก่อนถูกคุมตัวเข้าห้องสอบสวน 

ส่วน ‘นายเข้’ ที่นายศิวกรให้การซัดทอดว่า เป็นคนช่วยยกศพผู้ตายทั้ง 3 ราย ขึ้นรถ และเป็นคนขี่รถพานายศิวกรเอาทองไปขาย ตำรวจกำลังนำตัวมาสอบปากคำ

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังคุมตัว น.ส.ปาลิตา และ นายชัยณรงค์ สองแม่ลูกที่พบว่า โทรเข้า-ออกไปยังเบอร์โทรปริศนา มาสอบปากคำ เนื่องจากยังมีข้อพิรุธหลายส่วน รวมทั้งหลังจากที่พบศพผู้ตายแล้ว นายศิวกร หนีไปกบดานที่บ้านนายชัยณรงค์ เพราะรู้จักกัน

ต่อมา ตำรวจเปิดเผยผลสอบปากคำผู้ต้องสงสัยทั้งหมด ซึ่งรับสารภาพแล้ว 1 ราย และอยู่ระหว่างการขยายผลถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่วนนายบอล หรือโป๊งเหน่ง น้องชายของผู้ตาย ไม่เกี่ยวข้องกับคดี รวมทั้งนายชัยณรงค์ ก็ไม่เกี่ยวข้องกับคดีเช่นกัน

รายละเอียดคดีทั้งหมด พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ. ตร จะไปแถลงข่าวที่ สภ. คลองขลุง ในวันนี้ (15 ก.พ.68)

ขณะที่ศพผู้ตายทั้ง 3 ราย ช่วงเย็นวานนี้ เจ้าหน้าที่กู้ภัยเคลื่อนร่างมาที่วัดศรีภิรมย์ โดยใส่ในถุงซิป ใส่ผงการบูรและน้ำมันก๊าซเทใส่ในโลง เพื่อดับกลิ่น  โดยมีญาติๆ ที่มารอรับ พากันร่ำไห้ด้วยความเสียใจ โดยเฉพาะน้องซันเดย์ วัย 7 ขวบ ที่ต้องมาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร  จากนั้นญาตินำร่างพ่อแม่ลูก ใส่โลงเย็น เพื่อเตรียมสวดอภิธรรมศพคืนแรก โดยจะสวดพระอภิธรรมศพ 3 คืน และจะมีพิธีฌาปนกิจพร้อมกันทั้ง 3 ศพ ในวันจันทร์ที่ 17 ก.พ.นี้ 

ขณะที่ชาวบ้านที่มาร่วมงานศพ ต่างบอกว่า ครอบครัวนายวงศกร เป็นคนดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น หนึ่งในนั้นคือ นายมนตรี อายุ 69 ปี ที่เอาที่ดินไปจำนองแล้วไม่มีเงินไถ่คืน นายวงศกร ก็ช่วยเหลือ ด้วยการมาซื้อที่ดินของตนในราคา 4 แสนบาท โดยจ่ายให้น้องสาวของตนแล้ว 2 แสนบาท  ส่วนอีก 2 แสนบาทผ่อนจ่ายให้ตนเดือนละ 3 พันบาท เพราะอยากให้ตนมีเงินเดือนไว้ใช้ เพราะตนไม่ได้ทำงาน แต่หลังจากผ่อนชำระได้ 5 หมื่นบาท นายวงศกร มาขอพักชำระหนี้ เพราะจะไปลงทุนทำเครื่องเสียงให้เช่า ตนก็ไม่ว่าอะไร เพราะรู้จักกันดี กระทั่งนายวงศกรหายตัวไปทั้งครอบครัว และมาทราบว่าเสียชีวิต ตนก็ตกใจมาก ซึ่งที่ดินของตนยังไม่ได้โอนเป็นชื่อของนายวงศกร หากพ่อของนายวงศกร จะรับไปจัดการต่อก็ได้ แต่หากไม่เอาที่ดินไว้ ตนก็จะทยอยชดใช้เงินคืนให้