เมื่อ “กล่องดวงใจ” กลายเป็น “เป้าสังหาร” แม้จะมีแผนการปกป้องและป้องกัน คลี่คลายครอบคลุมกันไปทุกทางเช่นใดก็ตาม แต่โอกาส “พลาดพลั้ง” ย่อมมีขึ้นเสมอ โดยเฉพาะเมื่อ “มวย” ที่ขึ้นชกบนสังเวียนยังไม่เจนจัดมากพอ
“แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตัวเธอเองดำรงด้วยกันทั้งสองสถานะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อนในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างหลัง เมื่อเธอพลาด ย่อมลากดึงเอา พรรคและรัฐบาลเข้าไปอยู่ในคิลลิ่งโซน ทันที
แพทองธาร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯคนที่ 31 และเป็นนายกฯรุ่นที่ 3 ของ “ตระกูลชินวัตร” ผ่านพ้นระยะเวลาไปได้เพียงครึ่งปี แต่กลับพบเธอเป็นนายกฯที่น่าจะมี “คำร้อง” และ “คดี” มากกว่าใครๆที่ผ่านมาด้วยซ้ำ บางคดีอาจเป็นเรื่องที่ทำให้ “รำคาญใจ” เพราะ “นักร้องขาประจำ” ขยันจับผิดยื่นคำร้องไปที่องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีหยุดหย่อน
แต่ขณะเดียวกัน ยังมี คำร้องที่พร้อมจะพลิกกลายเป็นดาบ มาฟาดฟันนายกฯแพทองธาร อย่างคดีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ มรดกที่เธอรับมาจากผู้เป็นพ่อ คือ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ และเมื่อเธอรับตำแหน่งนายกฯ ในวันที่ 16 ส.ค.2567 ต่อมาได้โอนหุ้นบริษัท อัลไพน์ฯ ให้กับผู้เป็นแม่ คือ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เมื่อเดือนก.ย.2567
ทว่า “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาว่า จะเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ เนื่องจากเรืองไกร เห็นว่า นายกฯแพทองธาร “ ย่อมต้องรู้หรือควรรู้ว่า การเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ซึ่งมีที่ดินจำนวน 444 ไร่นั้น ที่อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งที่ 2308/2544 ให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินแปลงดังกล่าวไปแล้ว”
ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งนายกฯแพทองธาร และ ทักษิณ เองรู้ดีว่า สิ่งที่อาจทำให้พวกเขาต้องพ่ายแพ้ และน่าหวั่นไหวมากที่สุด คือ “นิติสงคราม” ซึ่งประเด็นความผิดพลาด พลาดพลั้งเรื่องของ “ข้อกฎหมาย” นั้นเปรียบเสมือน “จุดตาย” และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้อย่างชอบธรรมที่สุด และด้วยเหตุนี้เองที่ทักษิณ รู้สึกหงุดหงิดใจเรื่อยมา ถึงกับเคยเอ่ยปากว่าอยากจะชวน “นักร้องขาประจำ” มากินไวน์ด้วยกันสักครั้ง
ล่าสุดดูเหมือนว่า เรื่องร้อน ที่กำลังจะกลายเป็น “เรื่องใหญ่” ตามมา ทั้งที่ไม่น่าเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งที่การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปิดฉากลงไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า เรืองไกร คนเดิม กำลังเปิดฉาก “รุกไล่” นายกฯแพทองธาร ด้วยคำร้องที่สุ่มเสี่ยงจะพากันพังทั้งกระดาน !
เมื่อวันที่ 9 ก.พ.68 เรืองไกร ได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบการหาเสียงเลือกตั้ง อบจ.นครพนม เมื่อวันที่ 12 ม.ค.68 ที่ผ่านมานั้น ทั้ง นายกฯแพทองธาร , สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม และ มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม แกนนำพรรคเพื่อไทย ไปขึ้นเวทีและร่วมปราศรัยช่วย “อนุชิต หงษาดี” ผู้สมัครนายก อบจ. นครพนม เบอร์ 8 พรรคเพื่อไทยขณะนั้น
ถือว่าเป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” ตามระเบียบ กกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2563 ข้อที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และจะเป็นเหตุทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของ นายกฯแพทองธาร กับอีก 2 รัฐมนตรี ต้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัว
ฐานเป็น “ลูกจ้างของบุคคลใด” อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ประกอบมาตรา 170 (5) หรือไม่ ซึ่งเรืองไกร ระบุว่า ขอให้ กกต.รีบส่ง “ศาลรัฐธรรมนูญ” เป็นผู้วินิจฉัยโดยเร็ว
สืบเนื่องจาก หากการที่นายกฯแพทองธาร สุริยะและมนพร ไปช่วยหาเสียงให้กับอนุชิต คนของพรรคเพื่อไทย ผู้สมัครจะต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ช่วยหาเสียง ทั้งหน้าที่และค่าตอบแทนผู้ช่วยหาเสียง รวมทั้งพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องตามแบบที่กำหนดท้ายระเบียบ
แต่การที่ “รัฐมนตรี” ไปเป็นผู้ช่วยหาเสียง อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ในความหมายของคำว่า “ลูกจ้าง” ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 ดังนั้นอันอาจเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 (5)
ผลลัพธ์จากคำร้องเรื่องล่าสุดที่เรืองไกร ส่งไปยังกกต. นั้นหากเข้าข่ายมีความผิดจริง อาจกลายเป็น “ระเบิดลูกใหม่” แน่นอนว่า ด้านหลักคือสถานะของ นายกฯแพทองธาร จะหลุดจากเก้าอี้เหมือนกับในรายของ “สมัคร สุนทรเวช” อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน เมื่อปี 2551
และคนที่ยื่นคำร้อง “สอย” สมัคร ในครั้งนั้นก็คือ เรืองไกร คนนี้ ขณะที่เขายังเป็นสว.สรรหา ได้เข้าชื่อยื่นคำร้อง ต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า การจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป” และรายการ “ยกโขยงหกโมงเช้า” ของสมัคร ถือว่ากระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 ที่ห้ามนายกฯ มีตำแหน่งใด ๆ ในห้างหุ้นส่วนหรือองค์กรที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหากำไร หรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดหรือไม่
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2551 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ “ 9 ต่อ 0” วินิจฉัยว่าสมัคร ทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 และต้องพ้นจากตำแหน่งนายฯมาแล้ว ในครั้งนั้นประเด็นดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ว่าแค่นายกฯจัดรายการ ถึงกับต้องหลุดจากตำแหน่ง แต่อย่าลืมว่า กรณีดังกล่าวมี “ข้อกฎหมาย”ระบุเอาไว้ชัดเจน
อย่างไรก็ดี ประวัติศาสตร์ จะวนมาซ้ำรอย “นายกรัฐมนตรี” ที่ถูกปั้นมาจาก ทักษิณ อีกหรือไม่ ถือเป็นไฮไลท์ที่ต้องติดตาม เพราะนี่อาจเป็น “เงื่อนตาย” ที่เชื่อมโยงระหว่าง “พฤติการณ์” กับ “ข้อห้าม” ของ “รัฐธรรมนูญ” ซึ่งฝ่ายทักษิณ จะเรียกว่านี่คือนิติสงคราม เกมที่เขาไม่เคย “รบชนะ” ได้สักครั้ง มิหนำซ้ำมีแต่สูญเสีย “แม่ทัพนายกอง” ไปครั้งแล้วครั้งเล่า
จะผิดกันก็แต่ครั้งนี้ หากต้องมีการเสียหายขึ้นมาจริงๆ ชะตากรรมทางการเมือง ที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย มิใช่ใครอื่น แต่เป็น “กล่องดวงใจ” ของทักษิณ เอง !