เกษตรกรและผู้ประกอบการภาคเกษตรปศุสัตว์ของไทย ต่างตระหนักดีถึงปัญหาโรคระบาดสัตว์ ซึ่งเป็นปัจจัยกระทบที่ยากต่อการควบคุม ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในประเทศที่ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสัตว์มีชีวิตหรือผลิตภัณฑ์ด้วยแล้ว ย่อมมีความเสี่ยงอย่างสูงที่จะนำพาโรคเหล่านั้นติดเข้ามาระบาดในไทยด้วย

ยกตัวอย่างเช่นขณะนี้ กำลังเกิดการระบาดของไข้หวัดนกในสหรัฐฯ และกำลังทำให้เกิดปัญหาซัพพลาย-ดีมานด์ที่ไม่สมดุลภายในประเทศของเขา ราคาไข่ไก่ในสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 5.29 ดอลลาร์ต่อโหล หรือฟองละ 15 บาท  ร้านอาหารชื่อดังในอเมริกาอย่าง Waffle House ขึ้นราคาอาหารประเภทไข่ฟองละ 50 เซนต์ หรือราว 16 บาท โดยเรียกว่า "ค่าธรรมเนียมไข่" (egg surcharge) และในรัฐเพนซิลเวเนียยังเกิดการขโมยไข่ไก่ 1 แสนฟอง อีกด้วย  สะท้อนความร้ายแรงของโรคไข้หวัดนกที่กระทบทั้งชีวิตคน และกระทบเศรษฐกิจของชาติ แม้แต่มหาอำนาจอย่างสหรัฐก็ไม่เว้น  

และไม่ใช่แค่ในสหรัฐ ปัจจุบันในยุโรปหลายประเทศก็กำลังเกิดไข้หวัดนกเช่นเดียวกัน ทั้งฝรั่งเศส เยอรมนี ฮังการี เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์  รวมถึง จีนและอินเดีย  นับเป็นโรคอันตรายที่ประเทศไทยต้องป้องกันอย่างเต็มที่ กรณีเช่นนี้จำเป็นต้องป้องกันตั้งแต่ต้นทาง และควรเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการควบคุม ทั้งเรื่องการนำเข้าสัตว์ปีกมีชีวิตและผลิตภัณฑ์  ตลอดจนการป้องกันและควบคุมโรคภายในประเทศ ตามมาตรฐานคอมพาร์ทเม้นท์ที่ประเทศไทยมี เพราะโอกาสสุ่มเสี่ยงที่เชื้อไข้หวัดนกจะติดมากับการนำเข้าสัตว์ปีกมีชีวิตและผลิตภัณฑ์นั้นเป็นไปได้สูง

แต่ยังมีข้อเท็จจริงที่ต้องรับรู้กันไว้ คือทุกวันนี้ไทยมีผู้ประกอบการกลุ่มไก่ไข่-ไก่เนื้อ ที่ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าพ่อแม่พันธุ์จากต่างประเทศ และส่วนมากก็นำเข้าจากประเทศที่กำลังเกิดไข้หวัดนกอยู่ในขณะนี้  จริงอยู่ว่า เมื่อเกิดโรคระบาดเช่นนี้ องค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (Office International des Epizooties; OIE) ย่อมประกาศห้ามนำเข้าสัตว์ปีกมีชีวิตจากประเทศเหล่านั้น รวมถึงกรมปศุสัตว์ของไทยที่ต้องห้ามนำเข้าด้วย แต่สิ่งที่จะกระทบตามมาคือทำอย่างไรไม่ให้ธุรกิจของผู้ประกอบการเหล่านี้ต้องหยุดชะงัก และเดินหน้าต่อได้อย่างราบรื่น  เพราะหากไม่มีพ่อแม่พันธุ์  ย่อมไม่มีแม่ไก่สาวที่จะให้ไข่ และขั้นต่อไปก็คือจะกระทบปริมาณผลผลิตไข่ไก่ที่ผู้บริโภคต้องการใช้

แนวทางการยกระดับและพัฒนาการผลิตพ่อแม่พันธุ์ภายในประเทศของเราเองให้เพียงพอ น่าจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาปัดฝุ่นและพิจารณากันใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาพ่อแม่พันธุ์จากต่างประเทศ ลดความเสี่ยงในการนำเข้าโรคระบาด และลดอุปสรรคให้ผู้ประกอบการไทยเดินหน้าธุรกิจต่อได้อยางราบรื่น 

ยิ่งเมื่อเร็วๆ นี้ มีบริษัทแห่งหนึ่งให้ข่าวว่าเพิ่งได้รับอนุมัตินำเข้าพ่อแม่พันธุ์ไก่ไข่อีก 7,200 ตัวภายในปี 2568 ก็ยิ่งน่ากังวลว่าจะไปนำเข้ามาจากประเทศไหน เพราะตอนนี้แทบทุกประเทศที่ผลิตพ่อแม่พันธุ์ขาย ก็ล้วนมีการระบาดของไข้หวัดนกกันหมด กลายเป็นความเครียดของผู้คนในวงการไปเสียอีก แบบนี้ต้องเรียกว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องทบทวนในประเด็นนี้อย่างจริงจัง ให้สามารถเพิ่มผลผลิตพ่อแม่พันธุ์รองรับผู้ประกอบการไก่ไข่ในประเทศได้ทันการณ์

โดย : พีรชา พัฒนวิชาญ