ปิดฉากกันไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับ 3 ชาติรอบริมทะเลบอลติก ได้แก่ ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ที่ “ถอดปลั๊กไฟ” บอกลาการใช้พลังงานไฟฟ้าจากรัสเซีย อย่างเป็นทางการ

เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์นี้เป็นต้นไป ภายหลังจากประธานาธิบดีและคณรัฐมนตรีของทั้ง 3 ประเทศกลุ่มรัฐบอลติกข้างต้น อันได้แก่ ประธานาธิบดีกิตานัส นาวเซดา แห่งลิทัวเนีย ประธานาธิบดีเอ็ดการ์ส รินเควิคส์ แห่งลัตเวีย และนางโยโค อาเลนเดอร์ รัฐมนตรีกระทรวงสภาพภูมิอากาศของเอสโตเนีย ซึ่งมาแทนประธานาธิบดีอาลาร์ การิส ผู้นำเอสโตเนีย ได้มีปฏิบัติประหนึ่งเป็นการถอดปลั๊กไฟ คือ ยกเลิกการใช้พลังงานไฟฟ้าจากรัสเซียอย่างเป็นทางการ พร้อมกับโยกย้ายสับเปลี่ยนหันมาใช้พลังงานไฟฟ้ามายังกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป หรืออียูแทน โดยมีนางอัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ในฐานะ “ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปของอียู ส่งมอบการใช้พลังงานไฟฟ้าให้อย่างเป็นทางการ และยังมีประธานาธิบดีอันด์แชย์ ดูดา ผู้นำโปแลนด์ เข้าร่วมในพิธีการนี้อีกด้วย

โดยพิธีการดังกล่าว ก็มีขึ้นที่ “ศูนย์จัดแสดงนิทรรศการไลท์เอ็กซ์โป” ในกรุงวิลนีอุส เมืองหลวงของลิทัวเนีย ท่ามกลางความยินดีปรีดาของผู้มาร่วมงาน

ภาพแสดงโครงข่ายระบบไฟฟ้าจากสหภาพยุโรป หรืออียู ที่จะเชื่อมไปยัง 3 ประเทศริมทะเลบอลติก (Photo : AFP)

ก็เท่ากับยุติการใช้พลังงานไฟฟ้าจากรัสเซียของกลุ่ม 3 ประเทศริมทะเลบอลติก ซึ่งดำเนินมาตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1950 หรือเมื่อราว 70 กว่าปีที่แล้ว หรือในยุคที่ทั้งประเทศดังกล่าว ยังเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย

ก่อนที่อดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย จะล่มสลายกลายเป็นรัสเซียในปัจจุบันและหลายดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย แยกมาตั้งเป็นประเทศต่างๆ เมื่อช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990

ทว่า แม้แยกดินแดนมาก่อตั้งเป็นประเทศต่างๆ ของตนขึ้นแล้ว แต่บรรดาประเทศเหล่านั้น ก็ยังต้องพึ่งพารัสเซียในหลายๆ ด้าน

หนึ่งในนั้นก็คือ “ด้านพลังงาน”

โดยพลังงานที่ว่า ก็มีทั้งพลังงานก๊าซธรรมชาติ น้ำมันปิโตรเลียม รวมไปจนถึงพลังงานไฟฟ้า

ทั้งนี้ ก็ด้วยรัสเซียอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติด้านนี้เป็นอย่างมาก แถมยังมีกำลังการผลิต นำทรัพยากรฯ เหล่านั้น ออกมาใช้งานได้จำนวนมหาศาล

มีรายงานจากทาง “สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน” ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ระบุว่า รัสเซีย ถือเป็นประเทศท็อปทรี หรือ 1 ใน 3 ของกลุ่มประเทศหัวแถวด้านพลังงาน ซึ่งมากกว่าหลายประเทศสมาชิกของกลุ่ม

ประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือโอเปกด้วยซ้ำ โดยเป็นรองเพียงสหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบีย เท่านั้น

ในส่วนของพลังงานไฟฟ้านั้น รัสเซียก็เป็นผู้นำของกลุ่มประเทศ “บีอาร์อีแอลแอล” หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “เบรลล์” (BRELL : Belarus, Russia, Estonia, Latvia, Lithuania) ซึ่งกลุ่มเบรลล์นี้ ทำสัญญว่าด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกันตั้งแต่สมัยของอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซียแล้ว ทั้งนี้ แม้ปัจจุบันอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซียล่มสลายไปแล้ว แต่รัสเซียก็ยังคงเป็นพี่เบิ้มใหญ่ เป็นที่พึ่งพิง พึ่งพา ด้านพลังงานต่างๆ รวมถึงพลังงานไฟฟ้าแก่อีก 4 ประเทศเหล่านั้น

เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของลัตเวียตัดการเชื่อมต่อโครงข่ายระบบไฟฟ้าที่ส่งมาจากรัสเซีย (Photo : AFP)

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รัสเซีย ก่อสงครามรุกรานยูเครน อย่างชนิดช็อกโลก ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 (พ.ศ. 2565) เป็นต้นมา ทั้ง 3 ประเทศริมทะเลบอลติก คือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย ก็มีความประสงค์ที่จะไม่ขอพึ่งพิง พึ่งพา พลังงานไฟฟ้าจากรัสเซียอีกต่อไป โดยได้ยุติการซื้อพลังงานไฟฟ้าจากรัสเซีย นับตั้งแต่รัสเซียก่อสงครามกับยูเครนในครั้งนั้น

ทั้งนี้ ทั้ง 3 ประเทศหวั่นเกรงว่า รัสเซียจะใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นอาวุธมาข่มขู่ หรืออย่างน้อยก็มากดดันประเทศพวกเขา

โดยเมื่อกล่าวถึงทั้ง เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียแล้ว ก็ถือเป็น 3 ประเทศ ซึ่งอดีตเคยเป็นดินแดนบริวารของสหภาพโซเวียตรัสเซีย แต่เมื่อแยกมาสถาปนาเป็นประเทศขึ้น ทั้ง 3 ประเทศเหล่านั้น ก็ไปตบเท้าเข้าร่วมองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของชาติตะวันตก ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมาของรัสเซีย มาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ไม่ว่าจะเป็นการไปเข้าร่วมเป็นหนึ่งในชาติสมาชิกของสหภาพยุโรป หรืออียู การเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศที่คู่ปรปักษ์ของรัสเซีย มาตั้งแต่สมัยอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย หรือนับแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

ทั้งนี้ ความที่จะเลิกใช้พลังงานไฟฟ้าจากรัสเซีย ทั้ง 3 ประเทศ ก็เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นของสงครามรัสเซีย-ยูเครนแล้ว ก่อนมาคุยจริงจังเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว

โดยส่วนหนึ่งก็เป็นการแสดงออกถึงการสนับสนุนที่มีต่อยูเครน ประเทศที่รัสเซียรุกราน และเพื่อยุติการพึ่งพาด้านพลังงานไฟฟ้าจากรัสเซียให้ได้ เพราะรัสเซียใช้เรื่องนี้เป็นเสมือนอาวุธ หรือเครื่องมือข่มขู่ต่อประเทศเหล่านั้น

สายเคเบิลของโครงข่ายระบบไฟฟ้าจากรัสเซีย ที่ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของลัตเวียตัดทิ้งลงมา (Photo : AFP)

มีรายงานด้วยว่า แท้จริงแล้ว ทั้ง 3 ประเทศริมทะเลบอลติกดังกล่าว เริ่มดำเนินการเจรจาถึงความประสงค์ว่าต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจากอียู แทนที่รัสเซีย มาตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ผ่านมาแล้ว จนนำไปสู่การลงนามทำข้อตกลงกับอียู เมื่อปี 2018 (พ.ศ. 2561) โดยมีเนื้อหาว่า ทั้ง 3 ประเทศข้างต้น จะเชื่อมต่อโครงข่ายระบบพลังงานไฟ้าของอียู แทนทีรัสเซียให้ได้ภายในปี 2025 (พ.ศ. 2568)

ทั้งนี้ เมื่อผ่านพ้นปี 2025 ได้เพียง 1 เดือนกว่าๆ เท่านั้น ทั้งลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ก็ยุติการใช้พลังงานไฟฟ้าจากรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แล้วหันมาใช้พลังงานจากโครงข่ายของอียูแทน

นายคัสปาร์ส เมลนิส รัฐมนตรีกระทรวงสภาพภูมิอากาศและพลังงานของลัตเวีย (ซ้าย) พร้อมด้วยนายโรลันด์ส เอิร์กลิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอของเอเอสที บริษัทผู้ให้บริการพลังงานไฟฟ้าในลัตเวีย ร่วมกันถอดสายเคเบิลโครงข่ายระบบไฟฟ้าจากรัสเซีย (Photo : AFP)

โดยนางอัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน คณะกรรมาธิการแห่งยุโรป กล่าวในระหว่างทำพิธีส่งมอบระบบพลังงานไฟฟ้าให้แก่ทั้ง 3 ประเทศริมทะเลบอลติกด้วยว่า นื่คืออิสรภาพ อิสรภาพจากภัยคุกคาม และการข่มขู่ จากประเทศผู้ไม่เป็นมิตร รวมถึงยังเป็นการยกระดับด้านความมั่นคงทางพลังงานให้บังเกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรปอีกด้วย