ทวี สุรฤทธิกุล
“ไทย - แขก - มอญ - จีน - ลาว” คือเชื้อชาติที่อยู่ในเลือดเนื้อของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ใน พ.ศ. 2514 ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีอายุครบ 5 รอบ หรือ 60 ปี ท่านได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “โครงกระดูกในตู้” ซึ่งไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับภูตผีปีศาจหรือดวงวิญญาณอะไร แต่เป็นหนังสือเล่าเรื่อง “บรรพบุรุษ” ของท่าน ดังที่ท่านชี้แจงไว้ในตอนต้นของหนังสือเล่มนี้
“ในการเขียนหนังสือเล่มนี้ จึงได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียนถึงปู่ย่าตายาย ตลอดจนพี่ป้าน้าอาและพ่อแม่ ในทางทั้งได้ทั้งเสีย ทั้งบวกและลบ ตามที่บิดามารดาและญาติผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง ... ตามธรรมเนียมฝรั่งนั้น หากมีคนในตระกูลที่มีประวัติที่ไม่งดงามนัก ก็มักจะปกปิดไม่ให้ใครรู้เช่นเดียวกัน และคนในตระกูลที่ปกปิดไว้นี้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Skeleton in the Cupboard แปลว่า โครงกระดูในตู้”
ในหนังสือเล่มนี้แหละที่ทำให้เราทราบว่า บรรพบุรุษของท่านมีเชื้อสาย “ไทย - แขก - มอญ - จีน -ลาว” ดังว่า โดยสาแหรกข้างพ่อเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ในพระบรมจักรีราชวงศ์ องค์ปฐมกษัตริย์ก็คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตระกูลขุนนางในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาปาน บุตรของเจ้าแม่วัดดุสิต ที่เป็นแม่นมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าแม่วัดดุสิตนี้สืบเชื้อสายมาแต่ราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย ซึ่งก็คือบรมกษัตริย์ของราชอาณาจักรไทยนี้
สำหรับเชื้อสายทางแม่มีต้นตระกูลเป็นแขกเปอร์เซีย (หรืออิหร่านในปัจจุบัน) มีชื่อว่า เฉก อะหมัด ได้เข้ามาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาในปลายรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ ต่อมาในสมัยพระเจ้าทรงธรรมได้รับราชการเป็นขุนนาง มีความเจริญรุ่งเรือง มียศสูงเป็นถึง เจ้าพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชมนตรี แล้วก็มีลูกหลานรับราชการต่อมา แล้วลูกหลานนั้นก็ได้ออกจากศาสนาอิสลามมานับถือศาสนาพุทธ จนถึงรัชกาลสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยพระที่นั่งสุริยามรินทร์ หลานของเจ้าพระยาเฉกอะหมัดฯชื่อนายบุนนาค ได้รับราชการเป็นมหาดเล็ก มียศเป็น จมื่นไวยวรนาถ เมื่อเสียกรุงแล้ว ได้อพยพไปอยู่แถวเมืองสมุทรสงคราม จึงได้เจอกับคุณนวล น้องสาวของคุณนาค คุณนาคนี้ได้แต่งงานกับหลวงยกกระบัตร ชื่อเดิมนายทองด้วง ผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาโกษาปาน นายทองด้วงนี้ต่อมาได้รับราชการด้วยพระเจ้าตากสิน เป็นถึงที่เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ครั้นสิ้นรัชสมัยพระเจ้าตากสินแล้ว ทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นายบุนนาคก็ได้กลับมารับราชการ และด้วยฐานะที่เป็นคู่เขยหรือพระราชญาติ จึงรับราชการเติบโตก้าวหน้าในตำแหน่ง เจ้าพระยามหาเสนา ต้นตระกูลบุนนาค
เจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) มีบุตรที่เกิดกับคุณนวล 2 คน คนพี่ชื่อดิศ คนน้องชื่อทัศ ทั้งสองท่านได้รับราชการเติบโตเป็นถึงเจ้าพระยาทั้งสองท่าน คือ เจ้าพระยามหาประยูรวงศ์ (ดิศ) กับ เจ้าพระยามหาพิชัยญาติ (ทัศ) เจ้าพระยามหาประยูรวงศ์นั้นนั้นมีบุตรคนโตชื่อช่วง ต่อมารับราชการเป็นถึงสมเด็จเจ้าพระยา มหาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ ส่วนเจ้าพระยามหาพิชัยญาติมีบุตรคนหนึ่งชื่อ แพ ต่อมารับราชการเป็นเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ ได้แต่งงานกับหม่อมแหวว หม่อมแหววนี้คือท่านยายของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดหม่อมแดง ท่านแม่ของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นั่นเอง
หม่อมแหววนี้มีแม่ชื่อ พัน ผู้เป็นบุตรีของเจ้าอนุวงศ์ ได้ถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์ ตั้งแต่ครั้งที่เจ้าพระยาบดินทร์เดชารบชนะลาวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว นางพันได้เป็นหม่อมในเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (บุญศรี) เจ้าพระยาสุธรรมมนตรีนี้มีเชื้อแขกอินเดีย ในสกุลพราหมณ์จากเมืองพาราณสี ดังนั้นเมื่อไล่เชื้อสายมาทางท่านแม่ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็จะมีเชื้อสาย “แขกเปอร์เซีย (อิหร่าน) – มอญบางช้าง(สมุทรสงคราม) - ลาว (เวียงจันทร์) และแขกอินเดีย (พาราณสี)” โดยลำดับนี้
ส่วนเชื้อสายจีนก็ได้มาจากตระกูลข้างพ่อ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชโอรสของรัชกาลที่ 1 พระองค์ท่านทรงมีเจ้าจอมองค์หนึ่ง นามว่า เจ้าจอมอำภา ต้นสกุลของท่านเป็นจีนแซ่หลิม ชาวฮกเกี้ยน ที่อพยพเข้ามาไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา จีนแซ่หลิมคนนี้มีบุตรที่ลงเรือมาจากเมืองจีนด้วย 2 คน มีชื่อเป็นไทยว่า อิน กับ เริก ซึ่งนายเริกได้รับราชการในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เติบโตอยู่ในกรมท่าซ้าย ที่มีหน้าที่ติดต่อกับพ่อค้าฝ่ายจีน จนถึงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็มียศเป็น พระยาไกรโกษา เป็นต้นตระกูลไกรฤกษ์ ส่วนนายอินก็รับราชการในกรมท่าซ้าย จนมาได้ยศเป็นพระยาในสมัยรัชกาลที่ 3 คือเป็น พระยาอินทรอากร พระยาอินทรอากรนี้เป็นบิดาของเจ้าจอมอำภา ที่ได้ถวายตัวแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และมีพระโอรสกับพระธิดาถึง 6 พระองค์ หนึ่งในจำนวนนี้ก็คือพระองค์เจ้าชายปราโมช ที่ต่อมาได้รับพระราชทานสถาปนาพระยศขึ้นเป็น กรมหมื่นและกรมขุนวรจักรธรานุภาพ ในสมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 ตามลำดับ
กรมขุนวรจักรธรานุภาพนี่เองที่เป็นต้นสกุล “ปราโมช” ที่มีความหมายถึง “ความสุข ความยินดี”
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มักจะกล่าวถึงบรรพบุรุษด้วยความภาคภูมิใจอยู่เสมอ ๆ มิใช่เพราะบรรพบุรุษของท่านทั้งสายพ่อและแม่มีความยิ่งใหญ่ มีเชื้อเจ้าหรือเป็นขุนนางผู้ใหญ่แต่อย่างใด แต่ท่านได้นำเสนอให้เห็นว่า บรรพบุรุษของท่านนั้นมีทั้งด้านดีและไม่ดี เหมือนกับผู้คนทั้งหลาย แต่เมื่อสืบย้อนไปก็จะเห็นชีวิตของบรรพบุรุษแต่ละท่านนั้น ได้ “ฝาก” หรือทำอะไรไว้กับแผ่นดินบ้าง ซึ่งถ้าเป็นด้านดีก็ควรที่จะเล่าขานให้ลูกหลานได้ชื่นชมและจดจำเป็นแบบอย่าง แต่ถ้าบางคนที่ทำอะไรไม่ดีไว้นั้น ก็ควรศึกษาไว้เป็นบทเรียน ที่จะเอาไว้หลีกเลี่ยงหรือแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูก ๆ หลาน ๆ ในรุ่นต่อ ๆ ไป
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะกล่าวไว้ในที่นี้ก็คือ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านจะทำบุญให้กับพ่อแม่ของท่านในเดือนสิงหาคมของทุก ๆ ปีเสมอ นัยว่าเป็นเดือนที่ระลึกถึงการจากไปของทั้งสองท่าน ถ้าปีใดสะดวกไม่มีภารกิจมากก็จะทำบุญเลี้ยงพระที่บ้าน แต่ถ้าปีใดติดขัดบางทีก็ให้ลูกชายและญาติช่วยทำให้ หรือมีถวายสังฆทาน กรวดน้ำอุทิศเป็นกุศลแด่พ่อและแม่ทั้งสองท่านนั้นด้วย นอกจากนี้ในตอนตรุษจีนของทุกปี ท่านก็จะมีการไหว้เจ้า ที่รวมถึงการไหว้บรรพบุรุษ ไม่เฉพาะแต่บรรพบุรุษที่มีเชื้อสายจีน แต่คงรวมถึงบรรพบุรุษในทุกสายทุกฝ่ายนั้นด้วย ผู้เขียนซึ่งได้ร่วมพิธีอยู่หลายปี ก็เห็นว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีความสุขมาก ๆ ที่ได้แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษในทุกโอกาสนั้น
ในปีที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีอายุ 60 ปี นอกจากหนังสือโครงกระดูกในตู้ที่ท่านเขียนขึ้นเป็นพิเศษด้วยตัวของท่านเองในวาระนั้นแล้ว บรรดาญาติ ๆ และลูกศิษย์ลูกหา ตลอดจนคนที่รักและเคารพในตัวท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็ได้ช่วยกันเขียนหนังสือขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง ชื่อว่า “คึกฤทธิ์ 60” หนังสือเล่มนี้มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ในหลายแง่หลายมุม ตั้งแต่การเกิดของท่าน ที่เขียนโดยพี่ชายของท่าน คือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ร่วมด้วยคนดัง ๆ ในสมัยนั้นนับสิบ ๆ คน ซึ่งจะได้นำมา “ค่อย ๆ คลี่” เพื่อให้เห็นภาพแต่ละภาพของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ในสายตาของผู้คนร่วมสมัยกับท่าน โดยหวังว่าจะช่วยให้คนที่เกิดไม่ทัน จะได้ “รู้และเข้าใจ” ที่สำคัญ “สนุกไป” กับชีวิตแบบไทย ๆ ของท่านนั้น
ชีวิตไทยนั้นต้องมี “ความสุขและสนุก” เป็นหลัก ดังนามสกุลที่ว่า “ปราโมช” ฉะนี้