"เห็นที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพิจิตร และองค์การบริหารส่วนตำบลท้ายทุ่ง จะต้องตอบและชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะแบบและใบอนุญาตในการดำเนินการก่อสร้างศาสนสถานดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีบริษัทของใครเข้าไปรับผลประโยชน์ดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ของสองสามีภรรยา ซึ่งพระสังฆาธิการที่ปกครองในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องเร่งชำระสะสางเรื่องนี้โดยเร็ววัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องออกมาตอบคำถามให้ชาวพุทธได้ชื่นใจหน่อยเถอะว่า “อานิสงส์การถวายที่ดินแด่ภิกษุสงฆ์” นี้แท้จริงแล้ว จะนำมาซึ่งคดีอาญา หรือว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้ากันแน่ แต่บทสรุปที่ชัดแจ้ง ณ วินาทีนี้ก็คือ “โยมที่มีศรัทธาถวายที่ดินเพื่อสร้างวัด กำลังถูกพระสงฆ์ที่เคยศรัทธาฟ้องร้องดำเนินคดี” เหตุแห่งทุกข์ หนทางดับทุกข์ ผู้ที่มีสติปัญญาในฐานะลูกศิษย์พระพุทธเจ้าย่อมหาทางออกในเรื่องนี้ด้วยปัญญาได้ไม่ยากเย็นหรือไม่?"
“เงินทอนวัด” กลายเป็นข่าวที่ชวนให้พุทธศาสนิกชนเศร้าสลดใจที่สุดข่าวหนึ่งเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ด้วยมีพระเถระหลายรูปร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาทุจริตงบประมาณแผ่นดิน ส่งผลให้พระเถระที่สังคมนับหน้าถือตา
ถูกถอดสมณศักดิ์ ตกเป็น “ผู้ต้องหา” ในคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาปริยัติธรรม และเงินงบประมาณโครงการศูนย์กลางการเผยแผ่กิจการพระพุทธศาสนา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามนำตัวฝากขัง พร้อมจับสึกจากเพศบรรพชิต และคัดค้านการประกันตัวต้องใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ ถือเป็นการชำระวงการสงฆ์ครั้งประวัติศาสตร์ของไทยเลยทีเดียว
ถ้าภิกษุสงฆ์ยึดมั่นในพระธรรมวินัยย่อมจะไม่นำไปสู่ความเสื่อมทั้งปวง ดังปรากฏใน “สุภากัมมารธิดาเถรีคาถา” ความว่า “ข้าพเจ้าละสมบัติไม่ใช่น้อย ออกบวชด้วย ศรัทธาอย่างนี้ในพระสัทธรรม ที่พระพุทธเจ้า ทรงประกาศดีแล้ว. ข้อที่ละทิ้งเงินทองเสียแล้ว กลับมายึดเงินทองนั้นอีก ไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าปรารถนาแต่ความไม่กังวลห่วงใย ผู้ใดละทิ้งเงินทองแล้วกลับมายึดเงินทองนั้นไว้อีก ผู้นั้นจะโงหัวขึ้นมาได้อย่างไร ในระหว่างบัณฑิตทั้งหลาย เงินและทองไม่มีเพื่อสันติความสงบสำหรับผู้นั้น เงินทองนั้นก็ไม่สมควรแก่สมณะ เงินทองนั้น ก็มิใช่อริยทรัพย์”
แม้จะมีการตรวจสอบและดำเนินคดีกับพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของประเทศไปถึง 7 รูป แต่สิ่งเหล่านี้ ก็มิได้ทำให้พุทธศาสนิกชนที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาหวั่นไหว ดังช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เรากลับเห็นชาวพุทธทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีกว่า 21 ล้านคนเลยทีเดียว เรายังคงทำบุญใส่บาตรเข้าวัดฟังธรรมเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตตนและครอบครัว สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่งดงามตามแบบวิถีแห่งพุทธ
-“พระภิกษุสงฆ์ เปรียบเสมือนเนื้อนาบุญ”
พุทธศาสนิกชนจะทำทำบุญใดเพื่อยังกุศลกรรมให้เกิดมรรคเกิดผล ต้องใช้ศรัทธาที่มีสติกำกับ การถวายปัจจัยใดๆ ก็ตามกับสมมติสงฆ์ที่เป็นลูกชาวบ้านมาบวชในบวรพระพุทธศาสนา ก็ต้องพิจารณาให้รอบครอบ เรียกว่าต้อง “โยนิโสมนสิการ” จึงจะเกิดบุญเกิดกุศล ซึ่งสำคัญที่สุดก็คือการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
การถวายที่ดินเพื่อพระพุทธศาสนา นับว่าเป็นการทำบุญในฝ่ายวัตถุทานที่มีอานิสงส์มาก และผู้ที่ทำบุญถวายที่ดินนี้นับว่า เป็นผู้ที่มีความฉลาดและโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะผลทุกอย่างที่จะบังเกิดขึ้นหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็น กุฏิ โบสถ์ วิหาร หรือแม้แต่พระพุทธรูปทุกๆองค์ในวัด ตลอดจนผลแห่งธรรมทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นในศาสนสถานหลังจากถวายที่ดิน ผู้นั้นจะได้รับผลแห่งกุศลดังกล่าวทั้งหมด เพราะทุกอย่างล้วนปลูกสร้างหรือบังเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยผืนแผ่นดินที่เราได้เป็นผู้สร้างถวาย โดยเฉพาะเมื่อสถานที่แห่งนั้นได้เป็นสถานที่เป็นเหตุปัจจัยแห่งการสร้างสาธุชน และเป็นเหตุให้บังเกิดพระอริยะบุคคล อันมีพระโสดาบันเป็นต้น ตลอดจนถึงพระอรหันต์เป็นที่สุดแล้วนั้น ผู้ที่มีส่วนร่วมในการถวายที่ดินในบวรพุทธศาสนาแห่งนั้นก็จักได้รับอานิสงส์ดังกล่าวด้วย ยังจะเป็นบุญหนุนนำทำให้ผู้นั้นเจริญด้วยทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป
อานิสงส์การถวายที่ดินในพระพุทธศาสนาพอลำดับความได้ดังนี้ 1.จักได้เกิดในถิ่นที่เป็นปฎิรูปเทศ เหมาะแก่การทำความดี สร้างบุญบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป 2.ทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่มีตกต่ำ 3.มีความรื่นรมย์ทั้งในโลกมนุษย์และเทวโลก 4.ปรารถนาสิ่งใดที่เป็นบุญกุศล ย่อมสำเร็จได้โดยง่าย เป็นอัศจรรย์ 5.ได้รูปกายที่สวยงาม เพียบพร้อมบริบูรณ์ด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ 6.ได้เป็นเทวดาที่มีศักดิ์ยิ่งใหญ่ มีทิพยสมบัติที่รุ่งเรือง ตลอดจนมีทิพยวิมานอันใหญ่โต และมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล 7.มีความสง่างามเป็นที่เคารพนับถือศัรทธาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย 8.มีพร้อมด้วยสุข 3 ประการ เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้โดยง่ายและมีพระนิพพานเป็นที่ตั้งโดยไม่เนิ่นช้า 9.จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้ปกครองแผ่นดินหรือผู้บริหารประเทศ เกิดในภายภาคหน้าจะมีที่ดินเป็นของตนเอง และเป็นที่ดินที่มีทำเลดี เป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย เราจะไม่ต้องเร่ร่อน ไม่อดอยาก 10.ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนแผ่นดินนั้นก็จะเจริญงอกงาม เหมาะแก่การประกอบสัมมาชีพตามปรารถนา เป็นทำเลดีค้าขายก้าวหน้า ปลูกพืชให้ดอกให้ผลงอกงามกว่าที่ใดๆ
11.เป็นกุศลหนุนนำทำให้เกิดการบรรเทากรรม ให้กับผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ต้องเช่าเขา ถูกเขาโกงที่ หรือเกิดมาชาตินี้ต้องมาอยู่ที่แออัดคับแคบ แย่งกันอยู่ แย่งกันการทำบุญด้วยการถวายที่ดินแด่พระสงฆ์ นับว่าเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ จะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้ปกครองแผ่นดินหรือบริหารประเทศ ความที่เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่จึงมีคนพากันยกย่องสรรเสริญจำนวนมาก ในเรื่องของความมั่นคงทางกายและใจ ไม่มีปัญหาอะไรเลยเพราะเป็นผู้ที่หนักแน่น ทำการใดก็เจริญและได้รับการยอมรับอยู่ตลอด จะมีความสุขทั้งชีวิตเลยทีเดียว
ทว่าการตั้งจิตอันเป็นกุศลของสองสามีภรรยาข้าราชการบำนาญครู ที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ต้องการถวายที่ดินแด่ภิกษุสงฆ์ กลับนำมาซึ่งความเดือดเนื้อร้อนใจ ซ้ำยังถูกอำนาจมืดบอดคุกคามข่มขู่ ถูกแจ้งความดำเนินคดีอาญาเป็นคดีในชั้นศาล
“อุไร น่าบัณฑิต” และสามี “วีระ น่าบัณฑิต” ข้าราชการบำนาญครู อายุ 62 ปี เป็นผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ทั้งสองอาศัยอยู่ใน ตำบลเขาทราย อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร กำลังตกอยู่ในห้วงเวลาของความทุกข์รอบด้าน แม้จะมีความตั้งใจทำบุญใหญ่ถวายที่ดินเพื่อสร้างวัด
“เมื่อปี 2559 ดิฉันและสามีได้เกษียณอายุราชการครู ตั้งใจที่จะถวายที่ดินเนื้อที่จำนวน 13 ไร่ ตั้งอยู่ที่ตำบลท้ายทุ่ง อ.ทับคล้อ จังหวัดพิจิตร จึงไปกราบนิมนต์ พระชัยวิทย์ ปชโชโต อายุ 28 ปี พรรษา 8 จากวัดป่าเขาน้อย อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ให้เข้ามาพำนักในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับที่ดินแปลงที่เตรียมการจะสร้างวัด ซึ่งท่านได้ตั้งชื่อว่า สำนักสงฆ์ป่าธัมมะกาโม ต่อมาดิฉันและสามีเห็นว่าพระชัยวิทย์มีจริยวัตรที่ไม่เหมาะสมหลายประการ จึงได้บอกกล่าวกับพระชัยวิทย์ไปหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ซ้ำยังประกอบพิธีกรรมนอกพระพุทธศาสนา เช่น การปลุกเสก การสักยันต์ให้ญาติโยม และจัดทอดกฐิน-ผ้าป่าทั้งที่เป็นเพียงแค่ที่พักสงฆ์เท่านั้น ความศรัทธาที่ดิฉันและสามี เคยมีกับท่าน จึงค่อยๆ หมดไป และต้องการให้พระรูปนี้ออกไปจากพื้นที่ของดิฉัน”
ครูอุไรเล่าให้ “สยามรัฐ” ฟังว่า จวบจนปี 2560 พระชัยวิทย์ ได้ดำเนินการร่วมกับนายกองค์การบริหารส่วนตำบล
ท้ายทุ่ง ทำการตอกเสาเข็มก่อสร้างศาสนสถานบนที่ดินที่เตรียมการจะสร้างวัด พร้อมเรียกร้องขอให้ดิฉันทำหนังสือสัญญายกให้สร้างวัด โดยให้ดิฉัน และสามีพร้อมด้วยคณะกรรมการตามที่ระบุในสัญญาเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการก่อสร้าง ซึ่งได้ตกลงยกเซ็นสัญญา และจะไปยื่นขออนุญาตสร้างวัดกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพิจิตร และเมื่อสร้างวัดและขอตั้งวัดเสร็จแล้วเกล้าฯ ถึงจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวให้กับวัด แต่การดำเนินการกลับไม่เป็นไปตามนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเกล้าฯ เองไม่สามารถเข้าไปดูแลดำเนินการก่อสร้างได้ เพราะถูกข่มขู่คุกคามและปองร้ายหลายครั้งจนเกิดความหวาดกลัว เกล้าฯจึงเข้าไปร้องขอความช่วยเหลือต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพิจิตร จากนั้นพระชัยวิทย์ได้ว่าจ้างสำนักงานทนายความให้ทำหนังสือมาเร่งรัดให้ไปยื่นขออนุญาตสร้างวัดภายใน 7 วัน เมื่อพ้นกำหนดแล้ว ยังได้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลให้ดำเนินทางคดีอาญากับดิฉันและสามี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทอีกด้วย
คำถามใหญ่ตามมาก็คือ ความศรัทธาที่สองสามีภรรยาคู่นี้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะถวายที่ดินของตนเองให้เป็นศาสนาสมบัติ แต่พระภิกษุที่ทั้งสองเคยศรัทธากลับมีข้อวัตรปฏิบัติไม่สง่างาม ซ้ำยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ธรรมยุตนิกาย แม้จะเคยบอกกล่าวให้ท่านประพฤติและยึดมั่นในพระธรรมวินัย แต่ก็ไม่เป็นผล จึงทำให้เสื่อมความศรัทธา ไม่ประสงค์ที่จะให้พระรูปนี้เป็นผู้บริหาร อีกทั้งที่ดินผืนดังกล่าวยังเป็นกรรมสิทธิ์ของสองสามีภรรยา และเหตุใดจึงมีการเร่งรีบดำเนินการก่อสร้างศาสนาสถาน ที่สำคัญกว่านั้นการก่อสร้างศาสนายังรุกล้ำเข้ามาในที่ดินที่ไม่ใช่ที่ดิน ซึ่งตกลงจะถวายเพื่อสร้างวัด
เห็นที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพิจิตร และองค์การบริหารส่วนตำบลท้ายทุ่ง จะต้องตอบและชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะแบบและใบอนุญาตในการดำเนินการก่อสร้างศาสนสถานดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และมีบริษัทของใครเข้าไปรับผลประโยชน์ดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ของสองสามีภรรยา ซึ่งพระสังฆาธิการที่ปกครองในพื้นที่ดังกล่าวจะต้องเร่งชำระสะสางเรื่องนี้โดยเร็ววัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องออกมาตอบคำถามให้ชาวพุทธได้ชื่นใจหน่อยเถอะว่า “อานิสงส์การถวายที่ดินแด่ภิกษุสงฆ์” นี้แท้จริงแล้ว จะนำมาซึ่งคดีอาญา หรือว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้ากันแน่ แต่บทสรุปที่ชัดแจ้ง ณ วินาทีนี้ก็คือ “โยมที่มีศรัทธาถวายที่ดินเพื่อสร้างวัด กำลังถูกพระสงฆ์ที่เคยศรัทธาฟ้องร้องดำเนินคดี” เหตุแห่งทุกข์ หนทางดับทุกข์ ผู้ที่มีสติปัญญาในฐานะลูกศิษย์พระพุทธเจ้าย่อมหาทางออกในเรื่องนี้ด้วยปัญญาได้ไม่ยาก