เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 11 ก.พ. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ภายหลังตัดไฟ 5 จุดในเมียนมาเพื่อแแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้มีประเมินผลอย่างไรว่า ตอนนี้เท่าที่ดูเรื่องของไฟฟ้าลดไปได้ 40-50 % แต่มาตรการออกมายังไม่ถึง 1 สัปดาห์ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ระบุว่าหากผ่านไป 2 สัปดาห์จะสามารถประเมินผลอย่างเป็นทางการออกมาได้ เพราะการตัดไฟฝั่งเพื่อนบ้านอาจเก็บตัวเลขยากหน่อย แต่ฝั่งของเราสามารถดูตัวเลขคอลเซ็นเตอร์ที่โทรศัพท์มาหลอกลวงคนไทยลดลงอย่างไรบ้าง ซึ่งกระทรวงดีอีจะทำตัวเลขออกมา
เมื่อถามว่า หากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจะดำเนินการอย่างไรบ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราต้องดำเนินการแน่นอน คนที่ผิดต้องได้รับโทษไปตามนั้น
เมื่อถามต่อว่า คนไทยและคนต่างชาติที่ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่บอกจะคุยเรื่องความร่วมมือประหว่างประเทศ คืบหน้าอย่างไรบ้าง น.ส.แพทองธาร ตอบว่า ใช่คะ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ได้พูดเรื่องกลุ่มที่จะทำงานร่วมกันของทั้งสองประเทศ ตอนแรกทางจีนจะมาทำให้อย่างจริงจัง แต่เราอยากให้เป็นกลุ่มทำงานร่วมกันที่สามารถประสานกันได้ก่อนให้เกิดความรวดเร็วในการแก้ปัญหา การถูกหลอกจะมาแบ่งเรื่องสัญชาติคงยาก เราอยากให้เกิดการทำงานร่วมกันให้เกิดการทำงานระหว่างประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดการโดยผ่าน รมว.การต่างประเทศที่ดูเรื่องนี้
เมื่อถามว่า มีการมองกันว่ามาตรการฟรีวีซ่า เป็นช่องทางให้จีนเทาเข้าประเทศได้ง่ายขึ้น น.ส.แพทองธาร ตอบว่า จีนเทาใช้ประโยชน์จากฟรีวีซ่า เราต้องมองเป็นคนละส่วนกัน การเปิดฟรีวีซ่าไม่สามารถจำกัดคนเข้าประเทศได้ แต่การกระตุ้นการท่องเที่ยว หากจะบอกว่าไม่ได้แล้วต่อไปนี้ ไม่ฟรีเพราะจีนเทาเข้ามาเป็นคนละส่วนกัน สิ่งที่เกิดขึ้นตัวเลขปีก่อนหน้า นักท่องเที่ยวเข้ามา 27 ล้านคน ปีที่ผ่านมา 35 ล้านคน เกิดอะไรขึ้นบ้าง จีดีพีประเทศขยับหรือไม่ การท่องเที่ยวได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ถ้าเราจะแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ด้วยการยกเลิกฟรีวีซ่ามันคนละส่วนกัน การท่องเที่ยวเสียแน่นอน เพราะการท่องเที่ยวดีขึ้นมากๆ เนื่องจากฟรีวีซ่า