“นายกฯอิ๊งค์” หารือ “สี จิ้นผิง” ย้ำสนับสนุนแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติทุกรูปแบบ พร้อมชื่นชมรัฐบาลไทย ตัดน้ำไฟเพื่อตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “บิ๊กอ้วน” ลั่นปัญหา “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” กระทบคนทั้งประเทศ รับตัดไฟชายแดนเมียนมา กระทบ “ศก.” ส่วน “กมธ.ความมั่นคงฯ” เกาะติดหลังตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “โรม” ไล่บี้ รัฐบาลขยายผลจัดการคนหนุนหลังทุนเทา ส่วน “จเรตำรวจ” คาด “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ย้ายฐานไปกัมพูชา หลังไทยกดดันหนัก ยันเดินหน้าปราบปรามเต็มที่ ขณะที่ ตร.ระดมมือพระกาฬ-เปิดศูนย์กวาดล้างผู้มีอิทธิพล-มือปืนรับจ้าง-ผู้ร้ายรายสำคัญทั่วประเทศ

 

เมื่อวันที่ 6 ก.พ.68 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าวันนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปักกิ่ง) ที่มหาศาลาประชาชน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเยี่ยมคารวะนายสี จิ้นผิง (H.E. Xi Jinping) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเดินทางเยือนสาธารณประชาชนจีนอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5-8 กุมภาพันธ์ 2568 โดยนายกรัฐมนตรีกล่าว “สวัสดีปีใหม่จีน”  และยินดีที่ได้มาเยือนจีนในปี 2568 ซึ่งเป็นปีที่พิเศษครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ไทย-จีน                  

นายกฯกล่าวถึงความคืบหน้าในความร่วมมือ ด้านความเชื่อมโยงระหว่างไทย-จีน โดยรัฐบาลได้มีมติคณะรัฐมนตรี (4 ก.พ.  2568) ที่ผ่านมาอนุมัติดำเนินการโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร – หนองคาย ระยะที่ 2 ช่วงนครราชสีมา – หนองคาย   รวมทั้งจะให้การรถไฟแห่งประเทศ ยกระดับความร่วมมือด้านการรถไฟ ระหว่างไทยและจีน ให้เพิ่มเติมมากกว่าระบบรางอีกด้วย  นอกจากนี้ไทยยังมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ โครงการ Entertainment complex และ Land bridge ซึ่งจะเป็นโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ พร้อมเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดทำมาตรฐานร่วมกันในการจัดการ ณ ด่านศุลกากร เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ใช้เหลือผู้ประกอบการทั้งไทย-จีน รวมทั้งเพื่อประโยชน์ ของผู้บริโภคจีนด้วย            

“ด้านความปลอดภัยของประชาชน และนักท่องเที่ยวที่มาประเทศไทย เป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญสูงสุด ซึ่งไทยพร้อมเดินหน้าความร่วมมือกับจีนในการสกัดกั้นกระบวนการอาชญากรรมที่เดินทางผ่านประเทศไทยและจะเตือนภัย ผ่านกลไกความร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ  ทั้งนี้เป็นที่น่ายินดีที่ทั้งสองฝ่าย รวมถึงประเทศที่เกี่ยวข้องในภูมิภาค ได้มีความร่วมมือที่ใกล้ชิดในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ขบวนการ call center อย่างจริงจังแล้วในปัจจุบัน”

ขณะที่ ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง กล่าวว่า  “จีนสนับสนุนอย่างเข็มแข็งในการปราบปราม ขบวนการหลอกหลวง( online scam )การลักพาตัว การค้ามนุษย์  ซึ่งถือเป็นการบั่นทอนผลประโยชน์ของประชาชนจีน เป้าหมายหลักของทั้งสองประเทศ คือ การปราบปรามกิจกรรมผิดกฎหมาย  ที่ผ่านมาจีนได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและท้องถิ่นสามารถปราบปรามยาเสพติด จนประสบความสำเร็จ                

โดยอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นความท้าทาย มีความเสี่ยงสูง และชื่นชมรัฐบาลไทยที่พยายามอย่างเต็มที่และเป็นรูปธรรมโดยเฉพาะการตัดน้ำ ไฟ อินเตอร์เน็ตและน้ำมัน  ที่จะสามารถตัดวงจรกิจกรรมที่เป็นอาชญากรรมต่างๆ  ได้ และเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม จะดูแลความปลอดภัยและผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศด้วยการยกระดับการบังคับใช้กฏหมายทั้งในระดับทวิภาคีและอนุภูมิภาค                 

ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวก่อนเดินทางไปตรวจราชการและประชุมติดตามการปฏิบัติงานสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดและแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก หลังตัดไฟฟ้า 5 จุดในพื้นที่ชายแดน เพื่อสกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ว่า เพิ่งตัดไฟฟ้า ยังสรุปอะไรไม่ได้ แต่พิจารณาแล้ว ชายแดนไทย ไม่น่ามีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม เรื่องความเสียหายทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นบ้าง แต่ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ และยาเสพติด เป็นเรื่องใหญ่กว่า เพราะกระทบคนทั้งประเทศ

ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯ ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณากระทู้ถามสดเรื่องการจัดการแก๊งคอลเซ็นเตอร์และการค้ามนุษย์ ของนายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ถามรมว.มหาดไทย ว่า หลังจากที่รัฐบาลมีมาตรการตัดไฟฟ้าไปยังพื้นที่ที่เป็นแหล่งทำธุรกิจผิดกฎหมายในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการดำเนินการดังกล่าวมีความล่าช้า ทำให้กลุ่มนักธุรกิจสีเทา สีดำมีการเตรียมรับมือเพื่อให้ทำธุรกิจผิดกฎหมายได้ต่อ ตนกังวลเหยื่ดการค้ามนุษย์ 6,000 ชีวิต 25 สัญชาติ ที่อยู่กับพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หากการตัดน้ำยุติธุรกิจ และการค้ามนุษย์ได้จริง จะทำให้เหยื่อการค้ามนุษย์หลั่งไหลกลับไทย ผ่านชายแดน ทั้งนี้ศูนย์สั่งการชายแดน ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดดูแลไหวหรือไม่ต่อการรับเหยื่อการค้ามนุษย์ ดังนั้นจะทำงานเชิงรุกแบบใด ในการป้องกัน ปราบปรามและเยียวยาเหยื่อการค้ามนุษย์

นายกัณวีร์ กล่าวถึงข้อเสนอต่อกระทรวงมหาดไทยให้ตรวจสอบท่าข้าม ที่น่าสงสัย ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนตรวจสอบโดยด่วนและใครทำผิดกฎหมาย รวมถึงการส่งน้ำมันใต้ดิน ทั้งนี้ในการดูแลของกกระทรวงมหาดไทย มี 31 จังหวัดชายแดน และมีจังหวัดชายฝั่ง ดังนั้นกระทรวงจะมีมาตรการใดหรือไม่แจ้งผุ้ว่าราชการจังหวัดชายแดนและชายฝั่ง ปราบปราม ต่อต้านและเยียวยา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาหาความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ามนุษย์ให้เด็ดขาด

โดย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย มาตอบแทนรมว.มหาดไทย ชี้แจงว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และวันนี้ (6 ก.พ.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ลงพื้นที่รวมถึงสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หน่วยงานความมั่นคง ซึ่งได้ทำหน้าที่ของตนเองในพื้นที่ ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ทำให้เห็นรายละเอียดของปัญหาและตอบโจทย์ความกังวล ขณะเดียวกันนั้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่เดินทางไปเยือนจีน จะได้พูดคุยกับนายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีประเทศจีน ต่อประเด็นการแก้ปัญหาดังกล่าว

“มีการสั่งการจากหน่วยงานส่วนกลางไปยังจังหวัดให้เป็นวาระสำคัญ  รวมถึงทำงานเชิงรุกในการให้ข้อมูลผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงถูกหลอกไปทำงาน เหยื่อการค้ามนุษย์ และตรวจตราอย่างเข้มข้น ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน อาจมีเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งรู้เห็น รับรู้ข้อมูลไว้ทั้งหมด และสืบสวน ให้ฝ่ายมั่นคงปราบปรามให้หมดไปให้ได้ ต้องเป็นวาระป้องกันอย่างเร่งด่วนให้ได้ ส่วนความมั่นคงรัฐบาลจีน ส่งผู้ช่วยรัฐมนตรีลงพื้นที่จึงเห็นความจำเป็น การตัดไฟที่เกิดขึ้น เพื่อให้ต่างชาติรู้ว่าประเทศไทยจริงใจ และจริงจังต่อการแก้ปัญหา โดยไม่นิ่งนอนใจ รวมถึงต้องตัดการสนับสนุนการทำผิดกฎหมายด้วย” น.ส.ธีรรัตน์ กล่าว

รมช.มหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการทุกจังหวัดให้ดูแล ไม่เฉพาะจังหวัดพื้นที่ชายแดนเท่านั้น โดยให้ทุกจังหวัด ไม่สนับสนุนผู้ทำผิดกฎหมาย อาชญากรรมข้ามชาติ สแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ โดยประชุมทุกสัปดาห์เพื่อพิจารณาข้อมูล ทั้งนี้มีข้อมูลจาก พื้นที่เจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี ที่พบว่ามีการขอใช้ไฟฟ้าเพิ่ม จึงถือเป็นความเสี่ยงถูกใช้เป็นฐานกำลังผลิตยาเสพติด ทำสิ่งผิดกฎหมาย

ส่วน นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะกรรมาธิการฯ เพื่อพิจารณาและติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน การใช้บัญชีม้าในขบวนการยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งกรณีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟบริเวณชายแดนของไทยกับประเทศเมียนมา โดยได้เชิญ หน่วยงานต่างๆ อาทิ กระทรวงมหาดไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักข่าวกรองแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) เข้าร่วมประชุม

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในปัจจุบันทางรัฐบาลไทย ได้ตัดสินใจมีคำสั่งตัดไฟ ตัดอินเตอร์เน็ต และน้ำมัน ซึ่งวันนี้ตนก็เชิญหลายงานเข้าร่วมประชุม เพื่อพูดคุยกันว่า ตกลงแล้ว มีความคืบหน้าอย่างไร รวมถึงเรื่องข้อสัญญาต่างๆ โดยสิ่งที่เราจะต้องติดตามต่อไป คือเราต้องยอมรับความจริงก่อนว่า การตัดไฟ อินเตอร์เน็ต น้ำมัน อาจจะไม่เพียงพอทั้งหมด แต่เป็นก้าวแรก ก็ต้องมีก้าวที่สองและสามต่อไป เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนยังมีข้อมูลอีกชุดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน รวมถึงตัวบุคคลผู้เกี่ยวข้อง และนายตำรวจยศไม่ได้เยอะมาก ซึ่งตนจะมอบให้ตำรวจไซเบอร์ต่อไป แต่ยังเปิดเผยไม่ได้ในขณะนี้ เนื่องจากเครือข่ายจะรู้ตัว ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า ก็จะมีการพิจารณา กรณีท่าข้ามด้วย เนื่องจากในแง่ความมั่นคง เอื้อต่อการนำสิ่งของผิดกฎหมายข้ามไป

“ผมข้อสังเกตุว่า จุดจ่ายไฟของเมียนมาไม่ได้มีแค่ 5 จุด ยังมีอีกหนึ่งจุดที่ไม่ได้ตัด ซึ่งคงต้องถามหน่วยงานที่เข้ามา ว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไรในเรื่องนี้ เพราะอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ได้ รวมถึงจะมีการขยายผลไปพื้นที่อื่นๆ ด้วยหรือไม่ เนื่องจากทั้งฝั่งของกัมพูชา และ สปป.ลาว ก็มีไฟฟ้าที่เราขายให้ถึง 18 จุด ซึ่งก็ต้องดูต่อไปว่า จะถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดมากแค่ไหน ถือเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลและประชาชนให้ความสนใจในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่การจะทำอย่างไรให้หมดไป นี่คือความท้าทาย” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่าเมียนมาหันไปซื้อไฟจาก สปป.ลาวมาแทน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ก็ข้อมูลที่มีค่อนข้างแปลกประหลาด เพราะ สปป.ลาว มีการซื้อไฟจากเราเช่นเดียวกันถึง 3 จุด ซึ่งต้องติดตามต่อว่า มีความเชื่อมโยงของไทยด้วยหรือไม่

เมื่อถามว่ากระแสข่าว สปป.ลาว อาจนำไฟที่ซื้อจากไทย ไปขายต่อให้เมียนมา นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนยังตอบไม่ได้ว่าจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า แต่คำถามนี้ ก็จะเป็นคำถามที่จะนำไปถามการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ว่ามีความเป็นไปได้เช่นนั้นหรือไม่ เพราะเป็นจุดที่ใกล้กัน ยังไม่จบหน้าที่ของรัฐบาล เนื่องจากจัดการเพียงแค่ฝั่งเดียว แต่อาชญากรข้ามชาติมีอยู่หลายที่ ดังนั้น ภารกิจจะยังไม่จบ เนื่องจากหากจะคิดว่าแค่ตัดไฟ อินเทอร์เน็ต น้ำมัน อาจจะไม่พอ เพราะยังมีอีกหลายกระบวนการที่ต้องทำ สิ่งที่เราอยากจะจัดการคือระบุเป็น Pin Point เพื่อระบุพิกัดที่ชัดเจน เนื่องจากเรารู้อยู่แล้วว่า อาคารของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ไหน รวมถึงต้องมีการตัดสินใจที่จะให้มีการเปิดหรือปิดท่าข้าม ซึ่งก็เป็นอำนาจของกระทรวงมหาดไทย และต้องดูว่ามีแนวทางจัดการอย่างไร เพราะหากไม่มีมาตรการที่ดีพอ ตนมองว่า ควรลดจำนวนเท่าที่จำเป็น เนื่องจากมีบางท่าข้ามตั้งอยู่ตรงข้ามกาสิโน หรือคอลเซ็นเตอร์ด้วย

เมื่อถามถึงผลกระทบจากการตัดไฟต่อประชาชนในพื้นที่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราพยายามจัดการผู้กระทำความผิด ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ผู้กระทำผิดเหล่านี้ เขาเอาประชาชนในพื้นที่เป็นตัวประกัน ซึ่งก็ต้องระวังไม่ให้นโยบายของเรา กระทบหรือละเมิดสิทธิ์ใครแน่นอน แต่ปัญหาคือเรามีทางเลือกนโยบายอะไรบ้าง เพราะเมื่อพิจารณาแล้ว ก็มีความยากอยู่เหมือนกัน และไม่มีนโยบายไหน ที่อาจไม่มีผลกระทบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องชั่งน้ำหนักกัน ส่วนตัวมองว่ามีความจำเป็นอยู่ จากคำตอบที่ กฟภ.ชี้แจงว่า ไฟที่ขายนั้นเทียบเท่ากับปริมาณห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใช้ ซึ่งบริเวณนั้น ก็มีทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกาสิโน ตนจึงสงสัยว่าไฟฟ้าที่จะตกถึงประชาชนจริงๆ คือเท่าไหร่

“หากอยากแก้ปัญหานี้ สิ่งที่ต้องทำ คือจัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้เร็วที่สุด ถ้าเราทำได้เมื่อไหร่ การที่จะกลับมาพูดคุยในเรื่องไฟฟ้ากันอีกครั้ง ก็ยังไม่ขาดความเป็นไปได้ ดังนั้น จึงต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็ว เพื่อป้องกันความเสียหายให้ได้มากที่สุด ส่วนที่มีมีกักตุนน้ำมันอย่างที่ผมบอกไปว่า ทำแค่นั้นไม่พอ แต่เราต้องมีมาตรการอื่น ที่ต้องจัดการสลายโครงสร้างทั้งหมด ความสำเร็จที่พอเป็นไปได้ในตอนนี้ คือการทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่โตไปกว่านี้ ขณะที่เรื่องน้ำมัน ก็ต้องดูว่าเขาจะพึ่งพาน้ำมันได้นานขนาดไหน หรือเครื่องปั่นไฟเอง ก็ใช้งานไม่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยืนยันว่า มาตรการนี้ยังมีความจำเป็น แต่ต้องเพิ่มมาตรการอื่นด้วย ตลอดจนการร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ เพื่อทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งตนคิดว่าเป็นทางเลือกที่จำเป็นต้องทำเหมือนกัน รวมไปถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เกิดขึ้นในประเทศ ผ่านคนมือสีต่างๆ เพราะอย่าลืมว่า ถ้าไม่มีคนพวกนี้ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะไม่โตขนาดนี้ ถ้าเราจัดการคนพวกนี้ และขยายผลไปถึงข้าราชการ นักธุรกิจ ที่เป็นลมใต้ปีกให้ทุนสีเทาได้ โอกาสที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์พวกนี้ จะกลับมา ยิ่งใหญ่ ก็จะมีน้อยมาก” นายรังสิมันต์ กล่าว

เมื่อถามว่าความปลอดภัยของตัวเอง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนจะพยายามดูแลตัวเอง ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของสีเทาสีดำเยอะ แต่ตนคิดว่า เมื่อตนเป็น สส. หน้าที่ของตน คือทำตามหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะที่ผ่านมาได้การร้องเรียนจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบเยอะมาก จึงถึงเวลาที่ต้องเอาจริง อย่างไรก็ตาม ตนทำเรื่องนี้ไม่ได้ ต้องขอบคุณรัฐบาลที่อย่างน้อยที่สุด ก็เริ่มก้าวแรก และต้องขอบคุณ ทั้งนักวิชาการ หรือฝ่ายต่างๆ ที่ช่วยกันในเรื่องนี้ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า การที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ทั้งเรื่องไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต น้ำมัน มีความสำคัญ ก็ชัดเจนว่า สิ่งที่ตนพยายามนำเสนอมาโดยตลอด ไม่ได้เป็นการคิดเร็วๆ แต่ผ่านการศึกษามาอย่างรอบคอบ

ด้าน พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หลังลงพื้นที่ไปประชุมป้องกันแก้ไขปัญหาการย้ายฐานที่ตั้งของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยคาดว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จากเมืองเมียวดี อาจจะย้ายฐานปฏิบัติการไปยังชายแดนประเทศกัมพูชา จึงต้องมีการวางแผนรับมือแบบบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการป้องกันปราบปรามไม่ให้กลุ่มแก๊งดังกล่าวสามารถตั้งฐานปฏิบัติการเพื่อหลอกลวงประชาชนไม่ว่าชนชาติใด ทั้งนี้ยืนยันว่าจะเร่งเดินหน้าเต็มกำลังในการปราบปราม จะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งภายใน 3 เดือน

วันเดียวกัน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. แถลงผลการจับกุมตัว 1.นายยี (Mr.YE ) อายุ 29 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.784/2568 และ2.นายลี่ (Mr.Li) อายุ 30 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.785/2568 ลงวันที่ 5 ก.พ.68หลังสืบทราบว่า “บิ๊กบอส” ชาวจีนที่เป็นหัวหน้าแก๊ง 2 ราย คู่หูนรกมีธุรกิจ คอลเซ็นเตอร์ สแกรมเมอร์ และบริษัทฟอกเงิน หลายแห่งในประเทศเพื่อนบ้าน โดยล่าสุดทั้งสองหันมาจับการหลอกลวงแบบยิง SMS โดยล่าสุดพึ่งจะหาซื้อข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์กว่าหลายแสนเบอร์เพื่อจะนำมายิง SMS หลอกลวง และยังพบข้อมูลในโทรศัพท์การเข้าถึงควบคุมฐานของสแกรมเมอร์ที่มีที่ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอีกเพียบ หลังขยายผลชุดสืบสวนได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินรวมกว่า 15 ล้าน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร.สั่งการให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. เปิดศูนย์ปราบผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ร้ายรายสำคัญ โดยประชุมคณะทำงานจากทั่วประเทศ เพื่อขับเคลื่อนงานและรับมอบนโยบาย พร้อมกำชับแผนปฏิบัติกวดขัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ให้มีพฤติกรรมเป็นไม้ค้ำยันให้กับผู้มีอิทธิพล และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแส เป็นผู้ช่วยในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ศูนย์ดังกล่าว