อาจเกิดคำถามว่า ทำไมถึงปรากฏภาพ “บิ๊กอ๊อบ” พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร่วมคณะ “รมต.ปู” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์  รมว.ต่างประเทศ  เดินทางด่วนไปอิสราเอล หลังมีความชัดเจนว่า กลุ่มฮามาส จะปล่อย 5 ตัวประกันคนไทย หลังจากที่ถูกคุมตัว มากว่า 1 ปี

ไม่ใช่เพราะ พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นตัวแทน ผบ.เหล่าทัพ ในการประสานการรับตัวประกันคนไทยกลับบ้าน ไม่ใช่แค่ มาเตรียมประสาน ทอ. ในการจัดเครื่องบิน ทอ. มารับตัว 5 คนไทย กลับบ้าน หรือจะใช้เที่ยวบิน พาณิชย์ หรือการจัดแพทย์ทหาร ไปตรวจร่างกาย ตัวประกัน เท่านั้น

แต่เพราะมี โครงข่าย ที่ฝ่ายทหาร ได้วางเอาไว้ ในการติดตามช่วยเหลือตัวประกันคนไทย มาตลอดกว่า 1 ปี นับตั้งแต่ เกิดเหตุการณ์สู้รบระหว่าง ฮามาส กับ อิสราเอล ในเดือน ต.ค.2566  เมื่อครั้งที่ เศรษฐา ทวีสิน  เป็นนายกรัฐมนตรี  และ ปานปรีดิ์ พหิธานุกร  เป็น รมว.ต่างประเทศ

โดยนายกรัฐมนตรี ในเวลานั้นมอบหมายให้ พล.อ.ทรงวิทย์ ซึ่งเป็น ผบ.เหล่าทัพ ที่รู้จักสนิทสนมมากที่สุด ช่วยอีกทางหนึ่ง

มิชชันแรก คือ  เตรียมการอพยพคนไทยจากอิสราเอล กลับไทย  ที่นอกจาก ทอ. จะต้องเตรียมเครื่องบิน ที่ต้องบินระยะไกลได้  และดู เส้นทางการบิน จะสามารถบินผ่านประเทศใดได้บ้าง  สำหรับเครื่องบินทหาร รวมทั้งแผนใช้ เครื่องบินเช่าเหมาลำ สายการบินพาณิชย์ ไปรับแทน เพื่อความสะดวกใน เส้นทางการบิน

รวมทั้งการลงจอด ที่ อิสราเอล ทำได้หรือไม่ หรือ หากลงจอดไม่ได้  ต้องไปจอดประเทศใกล้เคียง  เส้นทางอพยพ ทางภาคพื้น   รวมทั้ง การจัดกำลัง ทหาร ไปดูแลรักษาความปลอดภัย คนไทย และดูแลเครื่องบิน  ที่ต้องใช้ทั้ง  ทอ. และ ทบ. ทั้ง ทหารอากาศโยธิน และทหารรบพิเศษ

แม้แต่กองทัพเรือ ก็เตรียมการ เตรียมแผนในการอพยพคนไทยทางเรือ  ในการวางเส้นทางเดินเรือ และจุดรวมพล นัดหมายที่จะไปรับคนไทยกลับ  หากเกิดวิกฤตขึ้นอีก

จนที่สุด มีการ อพยพคนไทย  หลายเที่ยวบิน พาณิชย์ และเครื่องบิน ทอ. ไปรับต่อ รวมแล้ว กว่า 7 พันคน และมิชชันที่ 2  ที่สำคัญมาก คือ การติดตามช่วยเหลือ ตัวประกันคนไทย 31 คน  ที่ถูกจับกุมตัวไว้ ที่ถือเป็นงานหิน

แต่ด้วยเพราะ เป็นอืสราเอล ที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา  แล้วไทย มีความสนิทสนมกับทางสหรัฐฯ ทั้งในแง่จุดยืน และ ความสัมพันธ์ทางทหาร ระหว่าง กองทัพไทย กับ กองทัพสหรัฐฯ  รวมถึง ความสัมพันธ์ ส่วนตัว ของ ผู้นำทางทหาร ไทย กับทางสหรัฐฯ

อีกทั้ง พล.อ.ทรงวิทย์  ก็จบจาก นายร้อย เวอร์จิเนีย VMI. สหรัฐอเมริกา  ที่มีคอนเนกชัน กับ ฝ่ายทหารสหรัฐฯ

จุดนี้ จึงทำให้ ฝ่ายทหารไทย ประสานกับ อิสราเอล โดยใช้เครือข่ายของสหรัฐฯ  รวมทั้ง ความสัมพันธ์ทางทหาร ระหว่างไทย กับทหารอิสราเอล

แต่การทำงานครั้งนี้  กองทัพไทย  ซึ่งหมายรวมถึง ทบ. และ ทอ. ด้วย  ยังทำงานร่วมกับ สภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.)  และกระทรวงการต่างประเทศ  และเอกอัครราชทูตไทย ที่ กรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล

นอกจาก ใช้ช่องทาง อิสราเอล-สหรัฐอเมริกา แล้ว ยังมีการใช้ช่องทางผ่านประเทศมุสลิม เพื่อ สื่อสาร ตรงไปยัง กลุ่มฮามาส รวมทั้ง ใช้ช่องทาง ของ สส.มุสลิม  ในภาคใต้ เครือข่ายของ นายวันมูหะหมัด นอร์ มะทา  ประธานสภาฯ โดยยึด คีย์พอยท์ ที่ว่า “คนไทยไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ของชาติไหน”  ท่ามกลางกระแสข่าวลือ ผิดๆ ในโลกมุสลิม ที่ว่า แรงงานไทย มาเป็นทหารให้ฝ่ายอิสราเอล

โดยใช้ความสัมพันธ์ทางทหาร และความสัมพันธ์ส่วนตัว กับ ผู้นำทางทหารหลายประเทศ ทั้ง กาตาร์ อียิปต์  ตุรเคีย และ มาเลเซีย ในการติดตามช่วยเหลือ ตัวประกันคนไทย  โดยเฉพาะ มาเลเซีย ที่มีความใกล้ชิดกับฝ่าย ผู้นำทหารไทย ในครั้งนั้น เบื้องต้น พลเอก ทรงวิทย์ ใช้กรมข่าวทหาร เป็นหน่วยนำ และประสานหลัก ในการติดตามข่าวสาร และความเคลื่อนไหว ที่เกี่ยวข้องกับตัวประกันคนไทย

โดยต่อมามีการเพิ่มตัวแทนหน่วยต่างๆ ของแต่ละเหล่าทัพ มาเพิ่มเติม  เช่น  ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) หรือ ที่ถูกเรียกว่า CIA ของ กองทัพไทย   ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายสากล (ศตก.) บก.ทัพไทย   และ กองพลรบพิเศษที่1   ที่มี เสธ.เอิร์ธ  พลตรี อินทนนท์ รัตนกาฬ  ผบ.พล.รพศ.1  ที่ตอนนั้น ยังเป็นพันเอกพิเศษ  ที่เดินทางไปที่อิสราเอล และเข้าพื้นที่ด้วยตนเอง พร้อม ศตก. ในการสำรวจตรวจสอบ สภาพแวดล้อม และแผนผัง เมือง ในฝั่งฮามาส

มีรายงานข่าว ถึงขั้นที่ว่า  มีแผนที่จะร่วมกับมิตรประเทศ ในการบุกเข้าพื้นที่ ในการช่วยเหลือตัวประกันคนไทย เลยด้วยซ้ำ จึงไม่แปลก ที่ พล.ต.อินทนนท์ จะปรากฏตัวที่อิสราเอล ร่วมประชุมกับ รมว.ต่างประเทศ  และ พล.อ.ทรงวิทย์ ไปอิสราเอล ในครั้งนี้ หลังมีความชัดเจนในการปล่อยตัว 5 คนไทย แล้ว

นอกจาก ด้านการข่าวแล้ว ยังมีการประสานงานทางการแพทย์ ทหาร ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เมื่อกลางปีที่แล้ว ในช่วงที่มีความชัดเจนในการปล่อยตัวประกัน เพิ่มเติมทหารไทยทุกคนที่ร่วมปฏิบัติการ ปิดทองหลังพระ ในครั้งนีั มีปณิธานร่วมกันว่า  ต้องพาคนไทยทุกคน กลับบ้าน อย่างปลอดภัย

และเสียใจ ทุกครั้ง ที่มีข่าวว่า ตัวประกันคนไทย เสียชีวิตไปแล้ว 2 คน  และพยายามในการแทร็กพื้นที่ในการหาร่าง ให้ได้เพื่อนำมาทำพิธีทางศาสนา

ก่อนที่ทุกคน มีความหวัง จากความพยายามในการเจรจา ล็อบบี้  ต่อรอง ในการปล่อยตัวประกัน หลัง โดนัลด์ ทรัมป์   ที่คาดว่าจะได้เป็น ประธานาธิบดีสหรัฐ ในเวลานั้น มีนโยบายที่จะยุติการสู้รบในหลายพื้นที่ จนที่สุดมีการเจรจาหยุดยิง อีกครั้ง และปล่อยตัวประกันหลายชาติ รวมทั้ง 5 คนไทย

ที่มาเกิดขึ้น ในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่เปลี่ยน นายกฯ มาเป็น นางสาว แพทองธาร ชินวัตร  แล้ว  และมี นายมาริษ  เป็น รมว.ต่างประเทศ  ที่มีความสนิทสนมกับ พล.อ.ทรงวิทย์ เป็นการส่วนตัวด้วย จึงทำให้ การประสานงาน ราบรื่น ระหว่าง กต. กับ กองทัพไทย ในนาม กลาโหม

เพราะก่อนจะมีการปล่อย 5 ตัวประกันชาวไทย ราวสัปดาห์หนึ่งพลเอกทรงวิทย์ ก็ส่งทีมทหารไทย ล่วงหน้า มาเพื่อเตรียมการ  โดยได้รายงาน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม  ตลอด

สำหรับ พล.อ.ทรงวิทย์  นั้นตั้งใจไว้ว่า อยากทำภารกิจอิสราเอลนี้ ให้จบ  ก่อนที่จะเกษียณอายุ กย.2568 นี้   เพราะยังคงมีมิชชัน  ในการนำตัวประกันคนไทยอีก 1 คน กลับบ้านอย่างปลอดภัย  รวมทั้ง นำร่างคนไทยที่เสียชีวิต 2 คนกลับบ้าน

ท่ามกลางกระแสข่าว และจับตามองไปที่ อนาคต ของ พล.อ.ทรงวิทย์ หลังเกษียณ  ว่าจะได้เกษียณหรือไม่ อาจมีตำแหน่งสำคัญ ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง รองรับ แต่มีข่าวว่า พล.อ.ทรงวิทย์  ตั้งใจที่จะ บวช หลังเกษียณ  นาน 2 เดือน ในการศึกษา และปฏิบัติธรรม 

แต่หลังจากนั้น  ด้วยความรู้ความสามารถ และ การเป็นทหารอาชีพ ทหารยุคใหม่   อาจมีคนทาบทาม และมาทำงานการเมือง รับตำแหน่งทางการเมือง แต่จะต้องเว้นวรรคทางการเมือง  อีกไม่ถึง 1 ปี เนื่องจาก เคยเป็น สว.โดยตำแหน่ง   แต่ สว. ที่มาจรก ผบ.เหล่าทัพ ได้สิ้นสภาพ สว. ไปแล้ว เมื่อ11 พ.ค.2567

พล.อ.ทรงวิทย์ จึงถูกโฟกัส  เพราะเมื่อเกษียณแล้ว แต่ยังมีบารมี และสายสัมพันธ์กับ ผู้นำกองทัพ  เพราะ คาดว่า เพื่อนตท.24  จะยังคงเป็น ผบ.เหล่าทัพ ต่อ เช่น “บิ๊กหยอย” พล.อ.อุกฤษฏ์ บุญตานนท์ รองผบ.ทหารสูงสุด  ที่มีอายุราชการถึง ตค.2570 และ “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ รองปลัดกลาโหม ที่คาดว่าจะขึ้น เป็นปลัดกลาโหม คนใหม่ และ มีความสัมพันธ์ แนบแน่นกับ “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์  ผบ.ทบ. อีกด้วย