ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีทรัมป์ได้สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
เริ่มจากภายในประเทศทรัมป์สั่งปลด เลิกจ้าง ยุบหน่วยงานและตัดงบประมาณไปหลายหน่วย โดยใช้คำสั่งบริหารของประธานาธิบดีอย่างเช่นหน่วยงาน USAID ที่รัฐบาลสหรัฐฯใช้เป็นเครื่องมือในการเดินงานแทรกแซงประเทศอื่นในรูปความช่วยเหลือแล็บทางชีวภาพและส่งเสริมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นมือไม้สำคัญของกระทรวงต่างประเทศและหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ (CIA) ที่สำคัญหน่วยงานนี้และอีกบางหน่วยงานยังเป็นส่วนหนึ่งของรูรั่วในงบประมาณสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนคนเสียประโยชน์ย่อมโกรธแค้น แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบตลอดทั้งประเทศอื่นที่ถูกปู้ยี่ปู้ยำจาก USAID หรือ NGO ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และยังเชื่อมโยงไปถึงพ่อมดการเงิน จอร์จ โซรอส อีกด้วย
ในด้านการต่างประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์เริ่มต้นบลัฟด้วยการข่มขู่ และกระทำการตัดไม้ข่มนาม เช่น ขู่ขึ้นภาษีนำเข้าแคนาดา และเม็กซิโก 25% ขู่ขึ้นภาษีศุลกากร ยุโรป และกดดันให้เพิ่มค่าใช้จ่ายทางทหารให้ NATO จาก 2% ของ GDP เป็น 5% ต่อ GDP ขู่ยึดคลองปานามาและยึดกรีนแลนด์ ผนวกแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ซึ่งถ้าทำได้ก็จะทำให้ AMERICA GRATE AGAIN จริงๆ
ในความเป็นจริงมันก็ไม่ง่ายอย่างนั้น ซึ่งอาจเป็นได้ว่าทรัมป์ต้องการบลัฟเพื่อต่อรอง เช่น กรณีแคนาดาและเม็กซิโก เมื่อทั้ง 2 ประเทศประกาศขึ้นภาษีตอบโต ทรัมป์ก็ผ่อนปรนยืดเวลาไปอีก โดยมีเงื่อนไขให้ทั้ง 2 ประเทศต้องส่งกำลังมาจัดการ ควบคุมชายแดนให้เข้มงวด ทั้งการขนยาเสพติดและคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งทั้ง 2 ชาติก็ตกลงร่วมมืออย่างดี
ที่คลองปานามาก็ส่งรมต.ต่างประเทศรูบิโอไปข่มขู่ให้ตัดสัมพันธ์และลดบทบาทจีนลงมิฉะนั้นจะยึดคลอง สุดท้ายดูเหมือนจะได้ทำให้เรือรบสหรัฐฯผ่านคลองโดยไม่เสียค่าผ่าน
ในกรณีสงครามยูเครน-รัสเซีย ทรัมป์ก็ใช้วิธีการขู่และบีบเซเลนสกี ด้วยการสั่งชะลอเงินช่วยเหลือทำให้เซเลนสกีไม่กล้าต่อรองมากและประกาศพร้อมร่วมมือในการเจรจากับรัสเซีย แต่ในความเป็นจริงงบที่อนุมัติสมัยไบเดน รวมทั้งอาวุธก็ยังคงไหลไปสู่ยูเครน แม้ว่ายูเครนจะถอยร่นในการรบมาตลอด เพราะขาดแคลนกำลังพลอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกันก็บลัฟปูติน โดยออกข่าวว่ารัสเซียเสียทหารถึง 1 ล้านคน ฉะนั้นให้มาเจรจาเสียดีๆ มิฉะนั้นจะโดนแซงก์ชันหนักกว่าที่เป็นอยู่และรุนแรง เล่นเอาเครมลินขำกลิ้ง เพราะที่เป็นอยู่นี่ก็หนักสุดแล้ว ที่เหลือก็เป็นสินค้าที่สหรัฐฯต้องการซื้อจากรัสเซีย เช่น ยูเรเนียม สกัดเข้มข้นเพื่อใช้ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของสหรัฐฯ หรือจรวดเชื้อเพลิงแข็งที่จะส่งยานหรือเครื่องมือไปอวกาศ หรือสินแร่นิกเกิล เป็นต้น
กับยุโรปเมื่อทรัมป์เห็นว่ายังมีปฏิกิริยาแข็งขืนโดยเฉพาะมีการตั้งป้อมจะตอบโต้ทางภาษี ทรัมป์ก็สั่งถอนทหารออกจากยุโรปทันที 20,000 นาย ทำเอายุโรปหนาวๆร้อนๆ
ล่าสุดวันอังคารที่ 4 ก.พ. ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 5 ของไทย เมื่อเนทันยาฮู มาขอพบเพื่อปรึกษาและต่อรองเรื่องการเจรจาหยุดยิงกับฮามาส และยังมีวาระแฝงเร้น คือ ต้องการชักจูงให้ทรัมป์โจมตีอิหร่าน หรือร่วมมือกับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่าน เพื่อทำลายสิ่งอำนวยความสะดวก แหล่งวิจัยและการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่อิสราเอลระแวงว่าอิหร่านจะพัฒนาไปทำอาวุธนิวเคลียร์แข่งกับอิสราเอล
ทรัมป์ก็ดำเนินการตัดหน้าก่อนการเจรจากับเนทันยาฮูด้วยการออกคำสั่งแซงก์ชันอิหร่านอย่างหนัก โดยเฉพาะการขายน้ำมันให้ลดลงเหลือศูนย์ โดยก่อนหน้าอิหร่านทำรายได้จากน้ำมันปี 23 ประมาณ 53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯปี 24 ประมาณ 54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาตรการที่หนักขึ้นคือจะห้ามเรือบรรทุกน้ำมันจอดในท่าเรือของพันธมิตร
ทั้งนี้ทรัมป์เคยทำให้การขายน้ำมันอิหร่านตกลงมาอย่างมากเมื่อสมัยทรัมป์ 1 แต่ครั้งนี้อิหร่านมีการเตรียมพร้อมเป็นสมาชิกBRICSและเป็นสมาชิกโอเปก ก็ไม่รู้จะได้ผลไหม แต่แน่นอนจีน อินเดีย น่าจะยังคงซื้อต่อไป แม้จะถูกบีบในทางอื่นด้วย
นอกจากประกาศแซงก์ชันการขายน้ำมันอิหร่านที่ทรัมป์ทำแล้ว เนทันยาฮู ยังมีเป้าประสงค์ที่จะทำลายศักยภาพของอิหร่านในการแผ่อิทธิพลในตะวันออกกลาง ทั้งนี้เนทันยาฮูคงเอาประเด็นการหยุดยิงกับฮามาสมาเป็นเครื่องต่อรอง เพื่อให้ทรัมป์ดำเนินการตามแผนในการเข้ายึดกาซาทำเป็นรีสอร์ต ให้ลูกเขยจาเร็ต คุชเนอร์ บริหาร โดยตั้งใจจะโยกย้ายคนกาซาไปไว้จอร์แดน และอียิปต์ประมาณ 1.5 ล้านคน โดยที่ทั้ง 2 ประเทศต่างคัดค้านแผนการอพยพนี้
ผู้เขียนมองว่าการที่ทรัมป์รีบประกาศแซงก์ชั่นอิหร่าน ก่อนพูดคุยกับเนทันยาฮู ก็เพราะต้องการหลีกเลี่ยงการโจมตีอิหร่านตามคำกล่อมของเนทันยาฮู นอกจากนี้การให้สัมภาษณ์ว่าจะย้ายชาวปาเลสไตน์จากกาซาไปอียิปต์และจอร์แดนก็เพื่อเอาใจพวกขวาตกขอบ และช่วยประคองเนทันยาฮูไว้ในตำแหน่ง ส่วนการพูดโม้โอ้อวดว่าถ้าชาวกาซาไม่ยอมก็จะใช้ความรุนแรง โดยอาจใช้ทหารมะกันเข้าไปควบคุมพื้นที่อันจะทำให้อิสราเอลยอมถอนทหารออก แต่เอาเข้าจริงอาจใช้กองกำลังผสมชาติอาหรับเข้ามาช่วย ทั้งนี้ทรัมป์ทำเหมือนว่ากาซาเป็นแผ่นดินของตน หรือแผ่นดินว่างเปล่า ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ ต้องติดตามกันต่อไป ว่าการเจรจาหยุดยิงเฟส 2 และ 3 จะเป็นอย่างไร
ประเทศสุดท้ายที่ประกาศสงครามการค้ากับทรัมป์ ในฐานะที่สหรัฐฯเพิ่มภาษีศุลกากรอีก 10% ซึ่งเดิมเก็บไปแล้ว 20% รวมครั้งนี้เป็น 30% คือจีนซึ่งตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรสหรัฐฯ 15%
งานนี้ดูแล้วจีนทำไปเพื่อรักษาหน้าเท่านั้น เพราะภาษีที่ขึ้นมันไปที่น้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซ LPG จากสหรัฐฯ ที่จีนไม่ได้สั่งจากสหรัฐฯ หรือสั่งน้อยมาก เพราะน้ำมันดิบก็ซื้อจากอิหร่านและรัสเซีย ถ่านหินก็ซื้อจากออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย ก๊าซธรรมชาติก็ซื้อจากรัสเซีย
สิ่งที่จีนจะทำเพื่อประจานสหรัฐฯ คือจะส่งเรื่องร้องเรียนไปยัง WTO ทั้งๆที่ก็รู้ว่าไม่มีผลอะไรแต่เป็นการสร้างบันทึกและบรรทัดฐานประณาม สหรัฐฯ นั่นเอง
ครับแค่มานั่งออฟฟิศในทำเนียบขาวไม่กี่วัน ก็ป่วนขนาดนี้ ประเทศไทยก็ระวังให้ดีเพราะทรัมป์ประกาศว่ามาตรการขึ้นภาษีศุลกากรนี้จะประกาศใช้กับประเทศอื่นๆที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ปัญหาคือเราเตรียมการอะไรไว้บ้างเพื่อรับมือ