รวบ 2 บอสชาวจีนระดับสั่งการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ประเทศเพื่อนบ้าน กบดานหมู่บ้านหรูย่านพหลโยธิน ยึดทรัย์มูลค่า กว่า 15 ล้าน
วันที่ 6 ก.พ.68 พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รรท.รอง ผบช.น. รองหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ศปอส.ตร. พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย รรท.ผบก.สส.บช.น. พล.ต.ต.อาทร ชิ้นทอง รรท.ผบก.ศูนย์ฝึกอบรมกลาง/ศปอส.ตร. พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. รองหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล ศปอส.ตร. พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิลผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. / จนท.วิเคราะห์ข้อมูล ศปอส.ตร. พ.ต.ท.เอกศิษฐ์วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น. นำกำลังเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) และ บก.สส.บช.น. จับกุมตัว นายยี วานโยว (Mr.YE Wanyou) อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.784/2568 ลงวันที่ 5 ก.พ. 68 และนายลี่ เว่ยเจีย (Mr.Li Weijie) อายุ 30 ปี ทั้ง 2 สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.785/2568 ลงวันที่ 5 ก.พ. 68 ข้อหา “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆเพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือยืมบัญชีเงินฝากหรือบัญชีอิเล็กทรอนิกส์เพื่อในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และเป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวใดๆ เพื่อมีการซื้อขายให้เช่าหรือให้ยืมหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้ในนามของบุคคลหนึ่งแต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้” โดยจับกุมรายแรกได้ที่หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บริเวณรัชโยธิน ซ.พหลโยธิน 32 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร จ.กรุงเทพฯ และต่อเนื่องจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 2 ได้ที่บ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านบริเวณรัชโยธิน ซ.พหลโยธิน 32 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร จ.กรุงเทพฯ พร้อมด้วยของกลาง 4 รายการ ได้แก่ 1.เงินสด (ไทยและต่างประเทศ) มูลค่าประมาณ 417,546.67 บาท 2.ของแบรนด์เนมจำนวนมาก มูลค่าประมาณ 4,305,846.67 3.รถยนต์ Benz Maybach S580e ราคาประมาณ 11,000,000 บาท และ 4.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 5 เครื่อง (พบข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นจำนวนมาก) รวมทรัพย์สินที่ตรวจยึดมูลค่าประมาณ 15,305,846.67 บาท
พล.ต.ท.สยาม กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 มีผู้เสียหาย เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ กับ พ.ต.ท.สมเจตน์ พลเหลา สว.(สอบสวน) สน.หัวหมาก ว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก ต่อมาฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมากและสืบนครบาลได้ทำการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม จนสามารถไปสอบปากคำพยานปากสำคัญที่บริเวณชายแดนได้หลายปาก ซึ่งพยานทั้งหมดได้ยืนยันตัวว่า มีตัวการใหญ่คือ 2 ผู้ต้องหาชาวจีนที่สามารถจับกุมได้ในวันนี้ ถือเป็นระดับหัวหน้าขบวนการที่คอยควบคุมและสั่งการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออก เชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในตึก 20 ชั้น โดยจะให้ลูกน้องในเครือข่ายเปิดเพจ Facebook
พล.ต.ท.สยาม กล่าวอีกว่า โดยแผนปทุษกรรมกลุ่มคนร้ายรายนี้ จะใช้วิธีหลอกเหยื่อที่ถูกหลอกและเข้าแจ้งความแล้ว จะเปิดเพจหน่วยงานตำรวจ และ ปปง. พร้อมคีย์เวิร์ด ว่า “ติดตามทรัพย์สินที่ถูกหลอกคืน” และ" ศูนย์ช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมต่างๆ พร้อมทั้งยิงแอดโฆษณาปั่นยอดไลค์ รวมถึงนำรูปโปรไฟล์รูป ผบ.ตร. ไปใช้ให้มีความน่าเชื่อถือ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อจึงกรอกข้อมูลเข้าไป ซึ่งเป็นการหลอกซ้ำ แต่เมื่อเหยื่อทำการติดต่อไป จะพาเข้ากลุ่ม ไลน์ที่จะมี ทนาย ผู้เชี่ยวชาญ หัวหน้าฝ่ายไอที ต่างๆ ทำทีสร้างชาร์จเส้นทางการเงินให้เหยื่อดู ก่อนอ้างว่าเงินที่ถูกหลอกไหลไปสู่เว็บพนันในต่างประเทศ จะต้องให้ฝ่ายไอทียิงระบบนำเงินคืนมา โดยผู้ต้องหาทั้งสองได้ข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อไปสั่งการงานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้วจะข้ามกลับมาที่ประเทศไทย โดยจะมากบดานเช่าบ้านภายในซอยพหลโยธิน 32 ซึ่งเปรียบเสมือนเป็น Safe House ซึ่งจากข้อมูลพบว่า บ้านหลังดังกล่าวมีราคามูลค่ากว่า 15 ล้านบาท แต่ผู้ต้องหาทั้งสองเช่าอาศัยเดือนละ 100,000 กว่าบาท จนกระทั่งในวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สามารถเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้ภายในหมู่บ้านหรูแห่งหนึ่งภายในซอยพหลโยธิน 32 พร้อมของกลาง
นอกจากนี้ยังพบว่า ในโทรศัพท์มือถือนั้น มีข้อมูลเป็นรูปภาพ QR Code และรูปภาพเครื่อง SIM Box และซิมโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่เปิดใช้งานเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลังจากนี้ ทางตำรวจจะต้องนำข้อมูลดังกล่าวไปตรวจสอบขยายผลเพิ่มเติมว่า มีความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์และผู้เสียหายอย่างไร ซึ่งขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งสองยังไม่ให้การใด ๆ กับตำรวจ ซึ่งหลังจากนี้ ทางตำรวจจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งสองไปดำเนินคดีที่ สน.หัวหมาก ซึ่งท้องที่ที่มีการแจ้งความของผู้เสียหายต่อไป รวมทั้งหลังจากนี้ ทางตำรวจจะขยายผลในเรื่องของการฟอกเงินและตัวการหรือลูกทีมในขบวนการอื่นเพิ่มเติม เพราะพบว่าผู้ต้องหาชาวจีน 2 รายนี้เป็นส่วนหนึ่งของแก๊งขบวนการ Call Center ขนาดใหญ่ที่อยู่ภายในตึก 20 กว่าชั้นในประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออก ซึ่งทรัพย์สินที่ทางตำรวจสามารถตรวจยึดอายัดได้หลังจากนี้ จะเข้าสู่กระบวนการเฉลี่ยทรัพย์สินเพื่อเยียวยาคืนแก่ผู้เสียหายตามขั้นตอนทางกฎหมาย และที่สำคัญ ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการมาแล้วว่า ให้ทุกสถานีตำรวจในท้องที่ไม่ว่าจะเป็นนครบาลหรือภูธร ตรวจสอบชาวต่างชาติที่มาประกอบธุรกิจในประเทศไทยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดกฎด้านกฎหมายหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนท้องที่นครบาลได้สั่งการให้ทุกสถานีตำรวจขยายผลทุกคดีที่มีการแจ้งความเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทั้งหมด
ฝากประชาสัมพันธ์ถึงพี่น้องประชาชนว่า หากพบพฤติการณ์ของชาวจีนหรือชาวต่างชาติรายใดที่ใช้ชีวิตหรูอยู่สบายหรือหรือเข้าข่ายว่าจะประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสให้กับทางตำรวจได้ทุกท้องที่และเน้นย้ำเตือนพี่น้องประชาชนว่า อย่าหลงเชื่อเพจแจ้งความออนไลน์ที่อ้างว่าจะสามารถช่วยเหลือและคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้ โดยเฉพาะหลายเพจที่มักจะนำภาพของผู้บังคับบัญชาระดับสูงมาเพื่อชวนเชื่อ โปรดอย่าหลงเชื่อเด็ดขาด ให้แจ้งความกับทางตำรวจที่สถานีตำรวจหรือช่องทางของตำรวจโดยตรงเท่านั้น อีกทั้งบรรดาผู้กระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน สามารถเข้ามอบตัวและให้ข้อมูลกับทางตำรวจ เพื่อขยายผลกวาดล้างแก๊งค์ Call Center ให้หมดไปจากประเทศไป.