ดนตรี / ทิวา สาระจูฑะ
"เพื่อนที่สุดวิเศษ, นักร้องแสนสวย และนักแสดงที่ยอดเยี่ยม น่าเศร้าเหลือเกิน”
นั่นเป็นคำไว้อาลัยสั้นๆจาก มิค แจ็กเกอร์ นักร้องนำ เดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ ที่มีต่อ แมรี่แอนน์ เฟธฟูล อดีตคู่รักของเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
โฆษกของเธอแถลงว่า แมรี่แอนน์ เฟธฟูล จากไปแล้วอย่างสงบในลอนดอนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2025 ในวัย 78 ปี
ก่อนหน้านี้ แมรี่แอนน์ ได้รับความทุกข์ทรมานจากปัญหาสุขภาพหลายด้าน รวมถึงโรคบูลิเมีย, มะเร็งเต้านม, ถุงลมโป่ง และไวรัสตับอักเสบ ซี ทำให้ต้องยกเลิกทัวร์คอนเสิร์ทและงานแสดงหลายครั้ง โดยเฉพาะหลังปี 2000 เป็นต้นมา
เมื่อปี 2020 เธอติดเชื้อโควิด-19 ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานถึง 22 วัน หมอบอกว่า ไม่คิดว่าเธอจะมีชีวิตรอด แต่เธอก็ผ่านมาได้ และยังออกอัลบั้มที่ 21 - She Walks in Beauty ในปีถัดมา ซึ่งเป็นอัลบั้มสุดท้ายในชีวิตของเธอ
เกิดในย่านแฮมสเตดของลอนดอนในเดือนธันวาคม 1946 เป็นที่รู้จักกว้างขวางจากเพลงฮิท “As Tears Go By” ซึ่งติดท็อป 10 บนตารางอันดับเพลงอังกฤษในปี 1964 และจากบทบาทในหนังหลายเรื่อง รวมถึง The Girl on a Motorcycle ในปี 1968
สาวสวยนัยน์ตากวางจากครอบครัวชนชั้นสูงของอังกฤษแห่งทศวรรษ 1960 ถูกค้นพบโดย แอนดรูว์ ลูก โอลด์แฮม ผู้จัดการวง สโตนส์ (ในช่วงปี 1963-1967) ขณะที่ยังเป็นเด็กสาววัยเพียง 16 ปี และไร้ชื่อเสียง เธอได้โอกาสบันทึกเสียงเพลง “As Tears Go By” ในปี 1964 และมาใส่ไว้ในอัลบั้มแรกของเธอ – Marianne Faithfull ในปีถัดมา
ก่อนจะได้รับการยอมรับในผลงานของตนเอง ผู้คนรู้จักชื่อของ แมรี่แอนน์ ในฐานะคู่รักของ มิค แจ็กเกอร์ ความรักอันโด่งดังของเธอกับเขากลายเป็นเรื่องอันโอชะของหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ แต่ขณะเดียวกัน เธอก็เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงร็อคคลาสสิคของ สโตนส์ อย่าง “Wild Horses” และ “You Can't Always Get What You Want”
“As Tears Go By” แต่งโดย โอลด์แฮม, แจ็กเกอร์ และ คีธ ริชาร์ดส ซึ่ง สโตนส์ ก็บันทึกเสียงเพลงนี้ด้วยเช่นกัน โดยตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลในปี 1966 ทั้งสองเวอร์ชันได้รับความนิยมทั่วโลก แต่ใช้สไตล์ดนตรีที่แตกต่างกัน ฉบับของ แมรี่แอนน์ เป็นโฟล์ค-ป็อป ฟังนุ่มเบา ล่องลอย และเหมือนอยู่ในความฝัน ซึ่งกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของเธอในเวลาต่อมา
กับอัลบั้มแรก Marianne Faithfull และอัลบั้มต่อมา North Country Maid ในปี 1966 ทำให้เธอกลายเป็นหนึ่งในขบวน British Invasion กระแสดนตรีจากอังกฤษที่เข้าไปครอบครองพื้นที่บนตารางอันดับเพลงของอเมริกา
คำว่า ‘ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร’ อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกคน แต่สำหรับ แมรี่แอนน์ มันตรงที่สุดแล้ว หลังจากที่เลิกรากับ แจ็กเกอร์ เธอก็ตกอยู่ในหล่มของการติดยาเฮโรอิน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ศิลปินในทศวรรษ 1970 เธอติดหนักถึงขนาด ณ จุดหนึ่งในช่วงนั้น ใช้ชีวิตแบบคนไร้บ้านบนถนนย่านโซโห
แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงของการติดเฮโรอิน เธอพยายามกลับมาด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง และความช่วยเหลือจากบรรดาคนที่รักเธอ ในที่สุด แมรี่แอนน์ ก็ได้ทำผลงานจนสำเร็จออกเป็นอัลบั้ม Dreamin' My Dreams ในปี 1976 แต่ที่ฟื้นคืนอาชีพศิลปิน ทำให้เธอกลับมาอย่างยอดเยี่ยม และได้รับความชื่นชมทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ฟังอีกครั้ง คือ Broken English ผลงานอัลบั้มป็อป-ร็อคระดับคลาสสิคในปี 1979 ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล แกรมมี่ ด้วย
เหมือนเป็นความบังเอิญ Broken English ถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งในขบวนการ British Invasion ครั้งที่ 2 ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงกลางทศวรรษ 1980 ซึ่งศิลปินร็อกนิวเวฟจากอังกฤษส่งอิทธิพลกว้างขวางในอเมริกาและทั่วโลก เท่ากับว่า แมรี่แอนน์ กลายเป็นศิลปินเพียงคนเดียวที่มีส่วนร่วมใน ‘การรุกรานจากอังกฤษ’ ถึง 2 ครั้ง ในเวลาห่างเกือบ 2 ทศวรรษ
นอกจากผลงานเพลง แมรี่แอนน์ ยังมีงานแสดงทั้งในภาพยนตร์จอใหญ่และทางโทรทัศน์ มีผลงานหนังสือออกมาอีก 3 เล่ม แต่ดนตรีก็ยังเป็นอันดับหนึ่งสำหรับเธอ แมรี่แอนน์ ออกอัลบั้มมาทั้งหมด 22 ชุด และเพราะความแตกต่างไม่เหมือนใคร เธอยังได้รับเชิญไปร่วมงานกับศิลปินอื่นๆมากมาย อย่าง เดวิด โบวี, ลู รี้ด, จาร์วิส ค็อคเกอร์, ดามอน อัลบาร์น, เอ็มมิลู แฮร์ริส และกระทั่งวงร็อคหนักหน่วงอย่าง เมทัลลิก้า
แมรี่แอนน์ ไม่เคยทำงานตามเทรนด์ของตลาด Negative Capabilty อัลบั้มรองสุดท้ายในปี 2018 เป็นการคิดคำนึงถึงวัย, ความโดดเดี่ยว และความเศร้า ได้แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากการจากไปของเพื่อนเก่า อนิต้า พอลเลนเบิร์ก ผู้มีความสัมพันธ์กับสมาชิก สโตนส์ 2 คน คือ ไบรอัน โจนส์ และ คีธ ริชาร์ดส์ และอีกส่วนการโจมตีไนท์คลับ บาตาคล็อง ในปารีส ซึ่งเธอมีบ้านอยู่แถบนั้นด้วย และเธอเคยได้รับอิสริยาภรณ์ Ordre des Arts et des Lettres จากรัฐบาลฝรั่งเศส
She Walks in Beauty อัลบั้มสุดท้ายในชีวิต เป็นอัลบั้มแบบที่เธอบอกว่าใฝ่ฝันที่จะทำมานานถึง 50 ปีแล้ว นั่นคือการนำบทกวีมาสร้างสรรค์เป็นเพลง ร่วมกับ วอร์เรน เอลลิส ศิลปินชาวออสเตรียผู้เล่นดนตรีทุกชิ้น อัลบั้มนี้มีบทกวีของกวีชั้นคลาสสิค อย่าง ลอร์ดไบรอน, โธมัส ฮู้ด, ตอห์น คีทส์, เชลลี่ ฯลฯ
ผลลัพธ์ก็คือ She Walks in Beauty ได้รับคำวิจารณ์ในทางบวกอย่างท่วมท้น เป็นการปิดฉากอย่างสมบูรณ์ของศิลปินแท้คนหนึ่ง