หลังปีใหม่การเกิดพายุโซนร้อนขึ้นฝั่งลูกแรกในรอบหลายสิบปีของ “พายุปาบึก” ทำให้เกิดปฏิกิริยาความหวั่นวิตกของผู้คนที่ในพื้นที่ ว่าพายุร้าย ที่พัดมาถล่มจังหวัดทางภาคใต้ของไทยในระหว่างวันที่ 3 ถึงวันที่ 5 ม.ค.นี้ จะสร้างความเสียหายและความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้เกิดขึ้นเหมือนในอดีต
ด้วยจากการพยากรณ์ของหลายหน่วยงานพบว่า พายุลูกนี้น่าจะมีความรุนแรงไม่แพ้พายุแฮเรียตและพายุเกย์!!
โดยพิษของพายุแฮเรียต ขึ้นฝั่งเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2505 เป็นเหตุการณ์ที่จดจำคือ “แหลมตะลุมพุก” อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 900 คนส่วนพายุเกย์
ถัดมาอีก 27 ปี ในเดือนพฤศจิกายน 2532 พายุเกย์ที่กำลังแรงเป็นพายุใต้ฝุ่นก็สร้างความสูญเสียให้กับชีวิตบริเวณรอยต่อระหว่าง อ.ปะทิว และ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ผู้คนกว่า 500 คนและสูญหายอีก 400 คน
แต่ท่ามกลางความหวาดหวั่นนั้น การรับมือกับพายุของหน่วยงานต่างๆ ภายใต้รัฐบาล โดยการนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือคสช. เบื้องต้นไม่พบความสูญเสียชีวิตประชาชน อีกทั้งการดำเนินการยังเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และเรียบร้อยเกินความคาดหมาย ทั้งที่ไม่เคยมีการซ้อมรับมือกับพายุโซนร้อนมาก่อน หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่รับมือกับพายุปีละหลายๆลูก
การแจ้งเตือนที่ฉับไว
สังเกตได้จากทันทีที่กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศฉบับที่ 1 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.2561 แจ้งเตือนตั้งแต่พายุยังก่อตัวเป็นแค่ดีเปรสชัน รัฐบาลก็ได้มีการเตรียมการรับมือล่วงหน้าแล้ว
“ได้เตรียมการตั้งแต่ 2 วันที่ผ่านมาแล้ว มีการแจ้งเตือนไปทุกกลุ่มอาชีพ โดยเฉพาะเรื่องประมง การท่องเที่ยว การสัญจรไปมาในพื้นที่อ่าวไทยและฝั่งอันดามันด้วย ขอเตือนทุกคนช่วยเตรียมการป้องกันตัวเอง และขอร้องภาคเอกชนในการใช้เรือโดยสาร ซึ่งได้สั่งห้ามหมดแล้ว และยังได้ย้ำเตือนในที่ประชุมครม.ด้วย ขณะเดียวกันกระทรวงมหาดไทยจะมีการประชุมเตรียมการบูรณาการอีกครั้ง หลังจากได้มีการสั่งการไปแล้วทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองทัพเรือ กองทัพบก กรมเจ้าท่า โดยมีกระทรวงมหาดไทยเป็นแม่งานในการขับเคลื่อน” นายกรัฐมตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2562
การอพยพที่มีแบบแผนอย่างดี
นอกจากการเตรียมศูนย์อพยกรองรับประชาชนในที่ที่ปลอดภัยในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัดแล้ว ปัญหาผู้อพยพไม่ยอมทิ้งทรัพย์สิน บ้านเรือน ก็ได้รับการทำความเข้าใจจากเจ้าหน้าที่ ในการดูแลทรัพย์สินโดยมีเจ้าหน้าที่เข้าดูแลบ้านเรือนไม่ให้ตกป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ที่อาศัยช่วงวิกฤติ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
เมื่อมีภัยพิบัติคิดถึงกองทัพ
ทุกเหล่าทัพลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ ตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทักอากาศ และตำรวจ ทีระดมสรรพกำลังและยุทโธปกรณืต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือ ภาพเรือของกองทัพเรือเข้าไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทิ่ดเกาะ เพื่อพากลับเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ถูกแชร์ไปว่อนโลกโวเชียล การลงพื้นที่ของทหารเพื่อเข้าเคลียร์พื้นที่หลังอายุผ่าน เพื่อเตรียมการฟื้นฟู
เรื่องสัตว์เลี้ยงก็สำคัญ
น่าสนใจการอพยพพายุปาบึกรอบนี้ มีการเปิดจุดอพยพสัตว์เลี้ยง ทั้ง หมา แมว วัวควานยต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 710 จุด ในจังหวัดต่างๆ
บทบาทนักบริหารสถานการณ์
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ปฏิเสธไม่ได้ว่า “บิ๊กตู่” โชว์ศักยภาพของนักบริหาร ที่สั่งการให้ทุกฝ่ายบูรณาการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ โดยไม่ได้ไปแทรกแซง และเลี่ยงการลงพื้นที่เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นบทบาทของนายกฯที่ทำได้ดี เฉกเช่นกับที่เคยบริหารสถานการณ์ปฏิบัติการถ้ำหลวง ที่กระจายอำนาจให้ส่วนงานในพื้นที่ที่รับผิดชอบ แม้จะลงพื้นที่ไปให้กำลังใจก็สั่งไม่ให้ตั้งแถวรับ
และแม้พายุปาบึก จะอ่อนกำลังจากโซนร้อนกลายเป็นดีเปรสชันแล้ว ก็ยังออกมาเตือนประชาขนให้ระมัดระวังผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เรียกว่าไม่ประมาท สกัดความสูญเสียทุกทาง
มาถึงบรรทัดนี้ จึงต้องยกนิ้วให้กับการเตรียมการป้องกันภัยพิบัติจาก “พายุปาบึก” ที่นอกจากฮีโร่ทั้งหมด ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง พลเรือน จิตอาสา และกู้ภัยต่างๆ หนึ่งในนั้นที่ต้องยกเครดิตให้คือ “บิ๊กตู่"