วันที่ 5 ก.พ.2568 ตั้งแต่เวลา09.00น. ที่ศูนย์ปฏิบัติการระบบไฟฟ้า สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) เขตจตุจักร กทม. ได้มีการสับสวิตซ์งดจำหน่ายไฟฟ้าไปยังบริเวณชายแดนไทย-สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะกำกับดูแล กฟภ. เป็นประธานในการสับสวิตซ์งดจ่ายไฟ ภายหลังที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) มีมติวานนี้(4ก.พ.) ให้กฟภ.ดำเนินการตัดไฟ เนื่องจากตรวจสอบข้อมูลแน่ชัดว่า การจำหน่ายกระแสไฟดังกล่าวไม่เป็นไปตามสัญญา รวมถึงส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะกรณีที่ไปเชื่อมโยงสนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ จุดงดจำหน่ายไฟฟ้ามีทั้งสิ้น 5 จุด ได้แก่ 1.จุดซื้อขายบริเวณบ้านเจดีย์สามองค์ ไปยังเมืองพญาตองชู รัฐมอญ โดยบริษัท Mya Pan Investment and Manufacturing Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 2.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง ไปยังเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป(พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 3.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า ไปยังเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน โดยบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จำกัด เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
4.ซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย - พม่า แห่งที่2 ไปยังอ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยบริษัท Nyi Naung Oo Company Limited และ บริษัท Enova Grid Enterprise (Myanmar) Company Limited เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และ 5.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง ไปยังอ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง โดยบริษัท Shwe Myint Thaung Yinn Industry and Manufacturing Company Limited (SMTY) เป็นผู้ได้รับสัมปทานจากสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา09.00น. เจ้าหน้าที่ กฟภ. ได้มอนิเตอร์ไปยังพื้นที่5จุดดังกล่าวที่จะงดจำหน่ายไฟ พร้อมชี้แจงถึงขั้นตอนต่างๆ ก่อนที่จะมีการดำเนินการตัดไฟโดยสับสวิตซ์ตัดไฟทั้ง5จุด ซึ้งขั้นตอนการดำเนินการเป็นระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล ซึ่งทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอปุ่มจ่ายไฟจากสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ ทันที โดยได้ทยอยตัดไฟทีละจุดเริ่มที่จุดแรกในเวลา09.00น. บริเวณจุดซื้อขายบริเวณบ้านพระเจดีย์สามองค์-เมืองพญาตองซู รัฐมอญ จุดที่ 2.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
จุดที่ 3.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง-เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน จุดที่4.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2-เมืองเมียวดี และ จุดที่5.จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านห้วยม่วง-เมืองเมียวดี ซึ่งจุดสุดท้ายนายอนุทิน เดินทางมากดสวิตช์ปิดกระแสไฟฟ้าด้วยตัวเองในเวลา 09.34น. พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย อาทิ นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการกฟภ.(บอร์ด กฟภ.) นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมเป็นสักขีพยาน รวมการตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง5จุด 20 เมกะวัตต์
นายอนุทิน กล่าวภายหลังเป็นประธานสับสวิตซ์ตัดกระแสไฟฟ้าว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำการได้ทำการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังประเทศที่รับซื้อไฟฟ้าทั้ง 5 จุด ตามมติของที่ประชุม สมช. ที่ได้มีการประชุมไปเมื่อวันที่4ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งนายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ลงนามและมีหนังสือสั่งการมายัง กฟภ.ให้ดำเนินการตัดกระแสไฟฟ้า ตามกำหนดเวลา 09.00น. เราเป็นผู้ปฏิบัติ เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย ก็สามารถดำเนินการได้ทันที ก่อนหน้านี้มีการตั้งคำถาม เหตุมใดกระทรวงมหาดไทยไม่ตัดกระแสไฟฟ้า ต้องบอกว่ามันอยู่นอกเหนืออำนาจ แต่เมื่อ สมช. มีการประชุมและมีมติออกหนังสือคำสั่งออกมาเราก็ดำเนินการทันที ตามที่ตน และปลัดกระทรวงมหาดไทย เคยชี้แจงว่า บทบาทหน้าที่ของเราเป็นอย่างไร เท่ากับว่าตอนนี้กระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งจากไทยไปประเทศเมียนมาได้ถูกยุติลงแล้ว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การอนุญาตให้ขายไฟฟ้าไปประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้นการจะตัดกระแสไฟฟ้าก็ควรรายงานไปยังคณะรัฐมนตรี แม้ว่าเรื่องนี้จะดำเนินการไปแล้วตามมติ สมช. ก็ยังต้องเสนอแจ้งให้นายกรัฐมนตรีรับทราบ ส่วนจะมีการเสนอให้ครม. รับทราบหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนายกฯ เพราะเรื่องนี้ ยังมีมติที่ต่อเนื่องเพิ่มอีกมากมายหนึ่งในนั้นคือให้กระทรวงมหาดไทย และกฟภ.ศึกษามติ ครม. ที่อนุญาตให้ขายไฟฟ้าเพื่อทบทวนและปรับปรุงแก้ไข เกี่ยวกับเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ ที่ในอดีตยังไม่มี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนำเสนอให้ครม. พิจารณา ยืนยันว่าในช่วงที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ ไม่เคยสั่งระงับการจ่ายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้าน แต่สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปติดตามสืบสวนสอบสวนว่ามีการใช้ไฟฟ้าที่ไทยส่งให้เมียนมาไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือไม่ หากมีก็ให้ดำเนินการตัดไฟ ซึ่งกฟภ. ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานต่างๆ แล้ว
เมื่อถามว่าหากทางการเมียนมาติดต่อประสานขอซื้อไฟฟ้าใหม่จากไทยในอนาคต นายอนุทิน กล่าวว่า ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ วันนี้รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าจะเป็นผู้ไปประสานกับรัฐบาลเมียนมาเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการตัดกระแสไฟฟ้า ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติไทยสามารถงดจ่ายไฟได้
เมื่อถามว่ารัฐบาลเมียนมาได้ทำการร้องขอหรือไม่เพราะมีชุมชนได้รับผลกระทบ นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ที่ประสานงานและหารือกับเมียนมา
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าจะถูกฟ้องร้องจากคู่สัญญาและจะส่งผลกระต่อความมั่นคงแล้วจะรับมืออย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้เราทำตามข้อกำหนดในสัญญาข้อ 14 ที่ระบุไว้ว่าหากจ่ายไฟไปแล้วและกระทบต่อความมั่นคงประเมศและพลังงานของชาติ ก็สามารถงดจ่ายไฟได้ทันที ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขในสัญญา โดย กฟภ. ไม่ใช่ผู้ตัดสินใจ แต่นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการ เราไม่ได้โยนกันไปโยนกันมา แต่มันมีขั้นตอน กฟภ.มีหน้าที่จ่ายไฟ แต่ไม่ได้ประเมินว่า ในจุดนี้มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศหรือมีผลต่อความมั่นคงทางพลังงานหรือไม่ ซึ่งเราอาจจะประเมินเองได้และนำไปหารือต่อไป
เมื่อถามว่าที่ตัดไฟไปวันนี้มีมูลค่าเท่าไหร่ นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้มีการตัดไฟรวม 20.37 เมกะวัตต์ ใช้ได้ต่อเดือน 50 ล้านบาท ต่อปี 600 ล้านบาทต่อปี
เมื่อถามว่าจะรับมือกับมิติทางการเมืองอย่างไรหลังฝ่ายค้าน ออกมาระบุ คนที่ทำให้เรื่องนี้ล่าช้าคือกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ในฐานะรมว.มหาดไทย กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง เรื่องนี้เกี่ยวกับความมั่นคงและเรื่องของรับข้อสั่งการ จากรัฐบาล และฝ่ายนโยบาย ไม่มีเรื่องการเมือง ไม่มีในเรื่องการทำเพื่อประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และยืนยันตั้งแต่วันแรกที่เป็นประเด็นแล้ว ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีข้อสั่งการมา กฟภ. ก็ทำตามข้อสั่งการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเราก็พิสูจน์เองแล้วว่าเมื่อมีข้อสั่งการมาเมื่อคืนนี้เราก็ทำทันที
เมื่อถามว่าการตัดไฟในครั้งนี้เสียยอดขายไฟฟ้าไปเท่าไหร่ นายอนุทิน กล่าวว่ายอดขายไฟฟ้าปัจจุบันต่อปีอยู่ที่ 600,000 ล้านบาท แต่จุดที่ตัดไป 600 ล้านบาท ไม่ถึง 1% ของรายได้ ในส่วนนี้เรามองว่าเราต้องรักษาประโยชน์ของพี่น้องประชาชนคนไทย แต่มีการนำไฟไปใช้แล้วที่แปรสภาพมาอีกรูปแบบหนึ่งและส่งผลเดือดร้อนให้กับประชาชน เราก็ไม่ได้คำนึงถึงดำเนินการเพราะกังวลเรื่องยอดขาย แต่ที่จริงแล้วเรารอข้อสั่งการอยู่ เมื่อมีข้อสั่งการมาเราก็ทำโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงยอดขายซึ่งยอดขายไม่มีความหมาย ที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน