ต้องจรดปากกาลงนามแบบรายวัน ชนิดมือเป็นระวิงเลยทีเดียว

สำหรับ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากประกอบพิธีสาบานตนรับตำแหน่งผู้นำประเทศ ก็ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order)ไปแล้วหลายสิบฉบับ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กับการลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ที่ห้องทำงานรูปไข่ ภายในทำเนียบขาว กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ (Photo : AFP)

โดยหนึ่งในคำสั่งฝ่ายบริหารที่สร้างความฮือฮาในแวดวงการต่างประเทศ รวมไปถึงการทหารระหว่างประเทศ ก็คือ คำสั่งให้เดินหน้าในแผนการสร้าง “ไอรอนโดมเพื่ออเมริกา หรือสำหรับอเมริกา” (The Iron Dome for America) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง

ตามคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้ กล่าวกันว่าก็เป็นไปตามคำมั่นสัญญาของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เคยให้ไว้ในระหว่างที่เขารณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่แล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แล้ว ก็ยังเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ที่ว่าด้วยเรื่องนโยบายด้านกลาโหม หรือการทหาร ในการป้องกันประเทศสหรัฐฯ จากภัยคุกคามความมั่นคงเป็นประการสำคัญ

ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงในนโยบายทางการทหารของรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ต้องนับว่า พยายามสร้างความแปลกใหม่ในทางยุทธศาสตร์มาตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรกแล้ว ยกตัวอย่างเช่น การสถาปนา “กองทัพอวกาศ (Space Force)” เมื่อปี 2019 (พ.ศ. 2562) เป็นอาทิ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับมือกับภัยด้านความมั่นคงจากรัสเซียและจีน ที่พัฒนาด้านอวกาศนี้เป็นอย่างมาก จนอาจเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ก็เป็นได้

ส่วนแผนการสร้าง “ไอรอนโดมเพื่ออเมริกา” ตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ในปี 2025 (พ.ศ. 2568) นั้น ก็คือ การสร้างเกราะป้องกันภัยทางอากาศ ที่ฝ่ายตรงข้ามอาจโจมตีทางอากาศเข้าใส่พื้นที่เป้าหมายต่างๆ บนแผ่นดินประเทศสหรัฐฯ นั่นเอง

ขีปนาวุธจากไอรอนโดม ถูกยิงออกไปเพื่อสกัดขีปนาวุธที่ยิงมาจากฝ่ายตรงข้าม ให้แตกทำลายกลางอากาศ (Photo : AFP)

ตามแผนการไอรอนโดมของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็มุ่งไปที่การป้องกันการถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธพิสัยการระยะไกล และขีปนาวุธร่อนทั้งหลาย ตลอดจนขีปนาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียง หรือไฮเปอร์โซนิกมิสไซล์ รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีศักยภาพด้านการโจมตีทางอากาศด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงต่างๆ ประดามี ซึ่งประเทศที่สหรัฐฯ มองว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม และเป็นคู่แข่งทางการทหารที่สำคัญ นั่นคือ รัสเซีย และจีน ตลอดจนเกาหลีเหนือได้พัฒนาบรรดาขีปนาวุธมหาประลัยที่กล่าวมาไปเป็นอย่างมากแล้ว

แนวทางในการป้องกันภัยทางอากาศข้างต้น ก็ต้องบอกว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แนวจากอิสราเอล ที่พัฒนาไอรอนโดม จนสามารถป้องกันการโจมตีทางอากาศจากฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่เกิดสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ ในฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 (พ.ศ. 2566) เป็นต้นมา

ขีปนาวุธจากไอรอนโดม ยิงสกัดขีปนาวุธที่ยิงมาจากฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ จนแตกทำลายกลางอากาศ (Photo : AFP)

โดยสงครามอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสดังกล่าวนั้น ก็ยังพ่วงการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มติดอาวุธและกองทัพประเทศอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมน และกองทัพประจำการหลักของอิหร่าน ที่ยิงทั้งจรวด ขีปนาวุธ และโดรนทางทหาร โจมตีทางอากาศเข้าใส่เป้าหมายในพื้นที่ต่างๆ ของอิสราเอล แต่ปรากฏว่า ไอรอนโดมของอิสราเอล ก็ช่วยปกป้องกันการโจมตีทางอากาศดังกล่าวได้เป็นอย่างดี โดยสามารถสกัดกั้น ทำให้อิสราเอลไม่สูญเสียมากมายดังที่ควรจะเป็น เช่น เหตุการณ์โจมตีเมื่อช่วงเดือนเมษายน และเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว ซึ่งมีรายงานว่า ไอรอนโดมของอิสราเอล สามารถสกัดกั้นได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม แผนการสร้างไอรอนโดมเพื่ออเมริกาของประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ยังเป็นเพียงเหมือนการสั่งให้ทางกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ หรือเพนตากอน ไปดำเนินการศึกษาเป็นเวลา 60 วัน ก่อนที่จะมีการเปิดเผยในรายละเอียดด้านต่างๆ เช่น งบประมาณและระยะเวลาที่ดำเนินการอย่างแน่ชัด

ทั้งนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญแสดงทรรศนะว่า ระบบไอรอนโดมที่ประธานาธิบดีทรัมป์ หวังจะดำเนินรอยตามอิสราเอลนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับป้องกันภัยทางอากาศในสหรัฐฯ ให้มีประสิทธิภาพเหมือนกับอิสราเอล ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุปัจจัยในเรื่องขนาดของภูมิประเทศ ซึ่งอิสราเอลกับสหรัฐฯ นั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก คือ ประมาณ 40 เท่าด้วยกันที่ประเทศสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่กว่าอิสราเอล โดยขนาดที่แตกต่างกันอย่างมหาศาลเช่นนี้ ก็ทำให้มีมุมองศา ทิศทาง สามารถป้องกันได้ง่ายกว่าในการใช้ไอรอนโดม ทั้งนี้ ถ้าหากรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ จะเดินหน้าในแผนการนี้จริง ก็ถือเป็นโจทย์ท้าทายต่อเหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ที่จะพัฒนาไอรอนโดมเพื่ออเมริกามิใช่น้อยว่าจะทำอย่างไร จึงจะให้ไอรอนโดมสามารถป้องกันการโจมตีทางอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะที่ บรรดานักวิเคราะห์อีกจำนวนหนึ่ง แสดงทรรศนะด้วยความเป็นห่วงว่าแผนการจะถูกล้มเลิกภายหลัง เมื่อกับสมัยของนายโรนัลด์ เรแกน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ผุดโครงการ “การริเริ่มการป้องกันทางยุทธศาสตร์ หรือเอสดีไอ (SDI : Strategic Defense Initiative) เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม 1983 (พ.ศ. 2526) หรือเมื่อเกือบ 42 ปีที่แล้ว แต่หลายคนเรียกอย่างเย้ยหยันในชื่อเล่นว่า โครงการสตาร์วอร์ส (Star Wars) โครงการที่ว่าก็มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันสหรัฐฯ จากการถูกโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์แบบขีปนาวุธโดยฝ่ายตรงข้าม ซึ่งขณะนั้นฝ่ายตรงข้ามก็มิใช่ใครที่ไหนอื่น แต่มุ่งเป้าไปที่อดีตสหภาพโซเวียตรัสเซีย ประเทศคู่ปรปักษ์หลักที่สำคัญในช่วงเวลานั้นนั่นเอง

อดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน แห่งสหรัฐฯ ผู้เคยพยายามผลักดันโครงการป้องกันภัยการโจมตีจากอาวุธนิวเคลียร์ หรือสตาร์วอร์ส (Photo : AFP)

อย่างไรก็ดี โครงการเอสดีไอ หรือชื่อเล่น “สตาร์วอร์ส” ข้างต้น ก็มีอันต้องล้มพับไป เมื่อสหรัฐฯ ได้ถอนตัวออกจากสนธิสัญญาต่อต้านขีปนาวุธ

ทว่า แม้โครงการสตาร์วอร์ส จะล้มเลิกไปแต่ในระหว่างนั้น สหรัฐฯ ก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหารด้านต่างๆ จนก้าวหน้าไปจากเดิมเป็นอย่างมาก เช่น ระบบโล่ขีปนาวุธของสหรัฐฯ ที่ใช้สำหรับป้องกันการโจมตีทางอากาศด้วยขีปนาวุธพิสัยทำการต่างๆ เป็นต้น จนระบบโล่ขีปนาวุธของสหรัฐฯ เป็นที่สนใจของประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรป และเอเชีย นำไปติดตั้งเพื่อป้องกันน่านฟ้า

ระบบโล่ขีปนาวุธของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ป้องกันภัยทางอากาศจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของฝ่ายตรงข้าม (Photo : AFP)

สำหรับ แผนการสร้างไอรอนโดมเพื่ออเมริกาของประธานาธิบดีทรัมป์ หากประสบความสำเร็จ ก็จะช่วยให้สหรัฐฯ แข็งแกร่งในทางการทหารมากขึ้น หรือถ้าหากไม่สำเร็จแต่จากการที่แผนการเดินหน้าไป ก็เชื่อว่า น่าจะมีพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารเป็นประการต่างๆ เหมือนกับโครงการสตาร์วอร์สของสหรัฐฯ เมื่อหลายทศวรรษก่อน