ออกมาเปิดใจสำหรับสาว “โบว์ เบญจวรรณ” ที่ได้มาย้อนเล่าอาการป่วยของคุณแม่ที่คุณหมอเคยบอกให้ทำใจ แต่ล่าสุดตอนนี้คุณแม่กลับมาแข็งแรง พร้อมอัปเดตสภาพจิตใจที่ตอนนี้มีหนุ่มคนใหม่แล้วหรือยัง ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี เป็กกี้ ศรีธัญญา และ หนิง ปณิตา รับหน้าที่เป็นพิธีกร
รีวิวชีวิตช่วงนี้ อัปเดตให้ฟังหน่อย?
โบว์ : สั้นๆ ก็แฮปปี้ (หัวเราะ) โบว์ว่าตอนนี้โบว์อยู่ในจุดที่โบว์แฮปปี้มากๆค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเอง เรื่องของสุขภาพทั้งของตัวเองและคนในครอบครัว มันอยู่จุดที่ลงตัวทั้งหมด และดีไปหมดเลย โบว์ว่าก่อนหน้านี้มันจะมีเหตุการณ์ หลายๆ เหตุการณ์ ให้คนใกล้ตัวโบว์ได้รับผลกระทบ เช่นเรื่องของสภาพจิตใจและร่างกาย ก็คือมันกระทบหลายส่วน แต่พอมาถึงวันนี้โบว์รู้สึกว่าทุกคนรอบตัวก็ได้รับพลังงานดีๆไปด้วย
แต่ก่อนหน้ามีปัญหาสุขภาพของคุณแม่ที่ต้องรับมือมันยากลำบากมาก?
โบว์ : ใช่ค่ะ เวลาหลายๆ คนเจอเรื่องในครอบครัวครอบครัวมันจะค่อนข้างกระทบหนักกว่าเรื่องอื่น ซึ่งเรื่องอื่นจะเป็นเรื่องรองในทันที คุณแม่โบว์ทำการผ่าตัดมาเมื่อห้าปีที่แล้ว มาจากอาการคลื่นไส้ พอไปตรวจก็พบว่าเป็นอาการของตับอ่อนอักเสบแล้วคุณแม่ก็แอดมิดที่ไอซียู 12 วัน พอเหมือนมาเจอปุ๊บก็อยู่ในสภาวะวิกฤตเลย ต้องมีการผ่าตัด แต่ไม่สามารถผ่าตัดได้ทันที เนื่องจากคุณหมอใช้คำว่าต้องขุนร่างกายคุณแม่ให้แข็งแรงก่อน ตอนที่เจอคุณแม่อายุ 70 สำหรับถ้าผ่าตัดก็ถือว่าท่านอายุเยอะ
มีสัญญาณไหมคะว่าคุณแม่ป่วย?
โบว์ : ไม่มีค่ะ แต่คุณแม่จะชอบบ่นเรื่องการปวดท้อง เราก็คิดว่ามันมาจากการที่เค้ากินเผ็ด กินอาหารที่ไม่ได้มีประโยชน์มากแกงกะทิของมัน ก็ไปเช็คอัพเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เจอ แต่พอมันมามันก็มาทีเดียวมาหนัก
ในระยะเวลาที่ต้องขนคุณแม่ให้แข็งแรงใช้เวลาเท่าไหร่ ?
โบว์ : 1 เดือน คือนอนอยู่โรงพยาบาลยาวๆ เราต้องลุ้นอยู่ตลอดคอยเช็คอัพทุกวันกับทางโรงพยาบาล พอวันที่คุณแม่พร้อมแล้วก็ผ่าตัดใหญ่ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง ผ่าตัดลำไส้ใหม่เลย คือตอนนี้คุณแม่ตับอ่อนเหลือแค่ครึ่งเดียวเพราะมันไหม้ และไปกระทบอวัยวะส่วนอื่น มันเหมือนน้ำกรดก็เลยมีการผ่าตัดลำไส้ ลำไส้อ่อนก็ถูกตัดทิ้งไป เหลือแต่ลำไส้เล็กคุณแม่ก็ไม่สามารถย่อยอาหารในกระเพราะได้เอง ตอนนี้เลยย่อยอาหารในลำไส้เล็ก ตอนนั้นก็ลุ้น ช่วงแรกๆโบว์จะอยู่กับพี่ชาย ก็จะมีอาจารย์แพทย์เข้าไปหนึ่งท่านเพราะ 3 ชั่วโมงก็จะมีเข้าไปอีกหนึ่งท่านเข้าไปช่วย แต่สุดท้ายก็โอเค แต่ที่รู้สึกว่าหนักหนักคือแผลไม่สามารถที่จะปิดได้ เผื่อมีการติดเชื้อก็เลยต้องเปิดไว้ แล้วก็ทำแผลทุกวัน โอกาสเสี่ยงติดเชื้อเยอะมาก ตอนนั้นโบว์แทบจะอยู่ที่นั่นตลอดเลย เป็นช่วงโควิดด้วย จะอยู่ 5 วันและสลับกับพี่ชายเสาร์-อาทิตย์ ตอนนั้นที่ใครเข้ามาก็ต้องตรวจก่อน
เห็นว่ามีสถานการณ์ตัวชาเพราะคุณหมอบอกว่าให้ทำใจ ?
โบว์ : คุณหมอบอกให้ทำใจวันเว้นวันเลย ตามสภาพอาการ คือวันไหนที่คุณแม่ไม่มีไข้แสดงว่าไม่มีการอักเสบเกิดขึ้น ก็จะมีโอกาสที่จะหายไว แต่ถ้าวันไหนมีไข้ ความดันสูง คุณหมอก็จะบอกว่าให้ทำใจเพราะการอักเสบอาจติดเชื้อได้ คุณหมอเรียกคุยเลยตอนนั้นถ้าอยู่ในสภาวะที่ ให้ยาไม่ได้แล้ว จะปั๊มไหม หรือจะให้ค่อยๆ ชัตดาวน์ไปทีละระบบ ก็เลยให้ไปคุยกับแม่เลยเพราะมันการตัดสินใจของเค้า เราไม่รู้ว่าเค้าทรมานขนาดไหน ถามว่าเราอยากให้เขาอยู่ไหม เราอยากให้เขาอยู่ แต่ไม่อยากให้ดันทุลังเลยให้คุณหมอไปถามคุณแม่เอง
แล้วคุณแม่ตอบคุณหมอหมอว่ายังไง ?
โบว์ : ไม่ต้องปั๊ม ตอนที่ได้ยินเราก็อึ้งเหมือนกัน แต่เราก็ให้เกียรติในการตัดสินใจของแม่เพราะเราเห็นเค้าทรมาน โบว์แค่รู้สึกว่าถ้าปล่อยให้เค้าทรมาน ถึงขั้นเจาะนั่นตัดนี่ น่าจะยิ่งทรมานมากกว่า ก็เลยให้คุณแม่ตัดสินใจ
เห็นว่าหลังจากผ่าตัดใหญ่ครั้งนั้นก็ยังมีผ่าตัดย่อยอยู่อีก ?
โบว์ : ก็นั่นแหละค่ะ 5 เดือนที่โรงพยาบาลนั้น ก็มีต้องเจาะนั่นเจาะนี่ เอาน้ำหนองที่ออก ก็จะมีการผ่าตัดเล็กๆน้อยๆ เบ็ดเสร็จก็จะใช้เวลา 5 เดือน วางยายาสลบคุณแม่ไปหลายรอบมาก ช่วงแรกคุณแม่ทานอาหารไม่ได้ต้องเจาะเส้นเลือดใหญ่เป็นภาพที่เราไม่อยากเห็นเลย เวลาคุณแม่ทานอาหารอะไรทานเสร็จก็จะอาเจียนต้องออกเพราะกระเพาะเค้ามีความผิดปกติมันมีการตัดต่อมันไม่ธรรมชาติกว่าที่ร่างกายจะปรับได้ก็ใช้เวลานาน คุณหมอให้คุณแม่กลับบ้านได้ก็ตอนที่อาเจียน
เอฟเฟคจากยาสลบมีอะไรบ้างถ้าเกิดได้รับบ่อยๆ?
โบว์ : สิ่งที่โบว์ ได้รับจากคุณแม่ก็คือแขนขาชา ลิ้นไม่รับรสกินอะไรก็ไม่อร่อย คุณแม่เป็นคนที่ชอบกินแซ่บและมาอยู่ในจุดที่กินอะไรก็ไม่อร่อย กินอะไรก็ไม่รับรู้รสชาติ หลังจากผ่านมาห้าเดือนคุณแม่เริ่มกลับมาทานได้ กลับมาเป็นปกติ
ในฐานะคุณแม่มีความท้อยังไงบ้างในการเป็นผู้ป่วย ?
โบว์ : เยอะพอตัว โบว์รู้สึกว่าเค้าทรมานที่เขาไม่สามารถขยับตัว ทำอะไรได้เหมือนเมื่อก่อน ไม่สามารถได้อย่างที่ต้องการ ต้องเข้าใจก่อนว่าคุณแม่นอนอยู่ห้าเดือนน้ำหนักหายไป 17 กิโล ขาลีบกว่าจะเดินได้ต้องมีวอล์กเกอร์ไม้เท้า เพราะกล้ามเนื้อไม่ได้ใช้งาน จากที่เดินช้อปปิ้งได้เดินสวนได้กลับทำอะไรไม่ได้เลย รู้สึกถึงความความหงุดหงิดของเค้า มีความสู้แหละ แต่มันก็จะมีความท้อเวลาหงุดหงิดก็จะส่งผลต่อคนรอบตัวเหมือนกัน ซึ่งต้องมีความพยายามทำความเข้าใจเขามากๆ
มีคำพูดของคุณแม่คำนึงที่โบว์บอกว่าจุกที่สุด ?
โบว์ : แม่ใช้คำพูดกับโบว์ว่าแบบ ถ้าไม่มีแม่แล้วพวกหนูสบายกว่าไหม แม่เป็นภาระพวกหนูไหม คือเราเห็นในความท้อของเค้าเค้าเหมือนไม่สบายตัวทำอะไรไม่ได้เหมือนแต่ก่อนต้องให้ลูกๆ ดูแลเขา ก็เลยคุยกับพี่ชายว่าหลังจากนี้เราต้องเปลี่ยนวิธีการคุยกับคุณแม่ ว่าให้เค้ารู้ว่าเราอยากมีเค้า ต่อให้เราทำงานหนักแค่ไหนเราก็อยากกลับมาเห็นคุณแม่ยิ้ม ยังอยากกลับมาเห็นเค้ากินข้าวได้ โบว์ว่ามันเป็นกำลังใจของเรามากๆ
อย่างการเปลี่ยนคำพูดก่อนหน้านี้คือเราคุยกับเค้ายังไง เปลี่ยนยังไง?
โบว์ : คือเราจะสังเกตตัวเองว่าเราหงุดหงิดง่าย โบว์หงุดหงิดกับคำพูดของคุณแม่ แบบแม่ชอบพูดว่าแม่ไม่อยากอยู่แล้ว เราก็จะแบบว่าทำไมแม่คิดอย่างนั้นทำไมแม่ถึงมองว่าหนูไม่เห็นค่าของแม่ หนูก็จะบอกแม่ว่าถึงหนูจะทำงานแค่ไหนหนูก็ยังอยากเห็นแม่ยิ้มอยู่ อยากให้แม่เห็นหนูสำเร็จนะ อันนั้นคือกำลังใจที่สำคัญที่สุดของหนูคือการที่แม่กินได้ เพราะฉะนั้นหนูอยากให้แม่ตั้งใจและเต็มที่ๆ จะพยายาม ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องไปเจอคุณหมอกี่รอบ ซึ่งหลังผ่าตัดเราเห็นแล้วล่ะ เราก็รู้ว่าเราต้องใช้ความรักกับเขามากๆ ก็บอกเขาว่าแม่เป็นส่วนเกิน แม่ไม่ใช่ภาระ แม่คือนัมเบอร์วันในชีวิตหนู เพราะฉะนั้นอย่าน้อยใจ ถ้าบางทีเรายุ่งเรื่องงาน ที่หนูยุ่งเรื่องงานก็เพราะว่าทำเพื่อแม่ ก็อธิบายด้วยความรู้สึกของเราจริงๆ บางทีเราก็ไม่ได้พูดตรงกับใจ แต่เราจะมีทิฏฐิอีโก้ ฉันก็ไม่อยากจะพูดหมดอ่ะเดี๋ยวเธอได้ใจ แต่พอมาถึงจุดๆ หนึ่ง พูดเถอะก่อนที่จะมีโอกาสได้พูด ในเมื่อเรารักก็แสดงออก ถ้าอยากให้เขารับรู้เราก็บอก
เค้าดีขึ้นไหม ?
โบว์ : ดีขึ้น เหมือนกับเราคุยกับเขาเรื่อยๆ เค้าบอกว่าเค้าอยากจะตั้งใจอยู่ บอกว่าเค้าแข็งแรงขึ้นแล้ว เขาก็เปิดใจมากขึ้นในการดูแลตัวเอง สุดท้ายก็อยู่ที่โรงพยาบาลไป 5 เดือนแล้วก็กลับมาอยู่บ้าน
หลังจากกลับมาบ้าน คุณแม่ไม่อยากกลับไปโรงพยาบาลอีกเลยเพราะมีอาการแพนิค ?
โบว์ : ใช่ค่ะ คือเค้าจะต้องไปรีเช็คทุกเดือน แต่พอถึงเวลาไปคุณแม่ก็จะคิ้วขมวดละ กลัวคุณหมอจะตรวจพบอะไร แล้วต้องอยู่โรงพยาบาลอีก อีกอันที่โบว์ไม่เข้าใจเลยคือเรามีตัวอย่างแล้วไง ถ้าเราไม่ได้ไปเช็คอัพมันเลยเป็นหนัก ก็เลยคิดว่าถ้าคุณแม่ เป็นอะไรนิดๆหน่อยๆ แม่ต้องบอกนะจะได้ไปตรวจจะได้ไม่ต้องนอน กลายเป็นว่าเค้าเลี่ยงที่จะบอกบอกอีกทีคือตอนหายแล้ว แบบว่าอาทิตย์ที่แล้วแม่เป็นไข้นะ อ้าว.. ตอนไหน แม่ไม่ได้บอกหนูกลัวหนูเป็นห่วง หลังจากนั้นเราก็เริ่มเสิชหา พาคุณแม่ไปทำโปรแกรมที่ทำให้หลอดเลือดแข็งแรงมากขึ้น ที่ชวนไปก็ไม่อยากไปสีหน้าไม่ดี แต่พอผ่านไปครั้งแรกก็ถามว่าทำแค่นี้เองหรอ แค่นอน 1 ชั่วโมง รักษา เค้าก็บอกว่าแค่นี้แม่โอเค พอทำไปซักระยะหนึ่งคุณแม่เริ่มกระปรี้กระเปร่าแข็งแรงสดใสมีเลือดฝาดบนหน้า คุณแม่ก็เริ่มอยากจะไปเดินช้อปปิ้งตรงนั้นตรงนี้ไปตลาดอยากไปเที่ยวทะเลเค้าเริ่มมีความต้องการ เริ่มอยากทำกิจกรรม จากที่เมื่อก่อนชวนไปไหนก็จะบอกว่าไม่ไหวพยายามเลี่ยงๆ ไป
แม่มีเป้าหมายหลักอยากเห็นลูกสาวแต่งงาน?
โบว์ : ก็ส่วนนึงค่ะ โบว์ว่าผู้ใหญ่ทุกคนแหละ มันอยู่ในจุดหนึ่งที่อยากเห็นลูกสาวแฮปปี้ เพราะว่าเราพาคุณแม่ไปงานแต่งของเพื่อนๆ เยอะ เค้าก็บอกว่าอยากเห็นหนูใส่ชุดบ้างจัง จะบอกคุณแม่อยู่เสมอว่าแม่ไม่ต้องห่วงนะ ต่อให้ในอนาคตจะมีหรือไม่มีหนูอยู่ได้หนูมีเวย์ของหนู ถ้ามีคู่หนูก็จะมีเวย์นี้ แต่ถ้าไม่มีก็จะเป็นอีเวย์นึง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเครียดและไม่ต้องห่วง ถ้ามีแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน
อัปเดตสภาพจิตใจและความรัก ?
โบว์ : วันนี้มูฟออนได้ 100% แล้ว (หัวเราะ)
อะไรที่อีลใจเราขึ้นมา รักษาตัวเองในการตกผลึกทั้งหมดนานเท่าไหร่?
โบว์ : พอสมควรค่ะ คือโบว์จะมีสองสเตท สเตทแรกคือระยะเวลาในการมูฟออน คือเรายอมรับว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นนะ อีกอันคือฮิลลิ่งรักษาใจตัวเองคือเอาออกไปทีละจุดมันต้องใช้เวลา จนเราได้กลับมาเป็นโบว์ในวันนี้ ส่วนสำคัญคือมีธรรมะในการนำทางด้วย จากการปฏิบัติก่อนหน้านี้โบว์ก็นำมาสะสม การที่นำตัวเองไปเรียนธรรม แล้วนำมาปรับใช้ มันก็เลยลงตัว
เรื่องที่ทำให้โบว์ตกผลึกจนต้องไปเรียนธรรมคือเรื่องอะไร?
โบว์ : ทุกข์คือสิ่งที่แน่นอน อยู่ที่เราจะจัดการกับมันยังไง หรือว่าจะเอาตัวเองเป็นทุกข์ด้วยการที่เห็นตัวเองโกรธจะเป็นระยะเวลานานแค่ไหน แต่ก่อนเราอาจจะมีสภาวะนี้ 2-3 วัน ก็ยังโกรธ แต่พอเราได้มีความรู้เราก็สามารถจัดการกับมันได้เร็วขึ้น อาจจะไม่ได้เร็วทันทีทุกครั้ง แต่ได้เร็วขึ้น มันไม่ใช่การที่เราตกผลึกธรรมะแล้วเราจะไปเป็นแม่ชีแล้วนะ เราแค่เรียนรู้และรับมือกับทุกข์ที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แค่หิวไม่ได้กินข้าวแล้วก็เป็นทุกข์แล้ว มันเกิดขึ้นตลอดเวลา พอเรามีวิชาเราก็ลองเรียนกับตัวเองดู ก็สนุกนะเวลาผ่านไปเร็วมาก แค่จัดการกับตัวเองเราก็ไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องคนอื่นแล้ว
เลยทำให้ตัวโบว์กลับมารักตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม?
โบว์ : ใช่ค่ะเพราะว่าทุกข์มันก็เกิดที่เรามันก็ควรจะจบตรงที่เรา โบว์คิดว่าตอนนี้โบว์อยู่ในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด ด้วยอายุด้วยมั้ง ปีนี้ 38 แล้ว
หลังๆ กลับมาเที่ยวฉ่ำ?
โบว์ : ใช่ค่ะก่อนหน้านี้โบว์อยู่กับงาน ก่อนหน้านี้ได้ไปไอซ์แลนด์เป็นที่ๆ โบว์อยากไปมาก แล้วพอทุกอย่างลงตัวก็ไปเลย เพราะในอนาคตก็ไม่รู้ว่ามันจะสวยเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่สวยจริง
ชาวเน็ตแซวว่าที่นั่นร้อนหรือเปล่า เพราแต่ละชุด ?
โบว์ : หนาวค่ะ แต่ด้วยที่มันเป็นออนเซ็นก็เลยบาลานซ์กันได้อยู่ แต่คือมันดีมากมันฟูฟิลมาก มันเหมือนไปชาร์จพลังมันดีมากๆ
ไปปฏิบัติธรรมมาได้ยินเสียงกระซิบข้างเตียง ?
โบว์ : เค้าเรียกว่าพี่โบว์ เป็นเสียงกระซิบของเด็ก 10 กว่าขวบ แล้วคือโบว์ไปปฎิบัติธรรมมาหลายรอบมากมาก แล้วรอบนั้นเป็นรอบที่โบว์ไปปฏิบัติธรรม 20 วัน วันนั้นเป็นวันที่ 7 ซึ่งก่อนหน้าหน้านั้นโบว์ก็ไปมาแล้วหลาย 10 รอบ แล้วก็รอบนั้นไม่รู้มีอะไรยิ่งปฏิบัติยิ่งอะไรหรือเปล่า ซึ่งห้องปฎิบัติที่ที่นั่นก็จะเป็นห้องส่วนตัว ปิดวาจาเก็บมือถือทั้งหมด เหมือนได้อยู่กับตัวเอง ได้ปฏิบัติได้พิจารณานั่งสมาธิ วันนั้นโบว์ก็นอนหันหลังให้กับประตูแล้วมองไปที่กำแพง โบว์เป็นคนที่หลับลึกมากปกติ แต่วันนั้นเหมือนมีเสียงเรียกพี่โบว์ คือเหมือนเราลืมตามาแล้วมองกำแพงเราก็คิดว่าหูแว่วหรือเปล่า เพราะที่นี่เค้าปิดวาจาแม่ใครพูดแล้วทำไมถึงมีเสียง มันก็เริ่มเริ่มฟุ้งเริ่มมีอาการหนาวทั้งเย็นทั้งเหงื่อแตกพร้อมกันเราก็รู้สึกว่าเอ๊ะมันเริ่มแปลกแล้ว แต่อย่างหนึ่งคือตอนนั้นเราอยู่ในสถานที่ปฎิบัติธรรมเราเรียนรู้มาว่าเราต้องจัดการกับอารมณ์ หันไปก็ไม่กล้าหัน ตอนนั้นก็โอเคก็นอนๆ ไป สักพักก็หลับ แล้วพอตื่นมาโบว์ก็คิดว่ายังต้องอยู่อีกตั้ง 14 วันแหนะ (หัวเราะ) และหลังจากนั้นก็คือความเตรียมพร้อมของเราทุกคืนว่าเค้าจะมาอีกหรือเปล่า แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเพราะที่เราตัดไม่ตอบ เค้าเลยไม่มาแล้ว
อึดอัดไหมปิดวาจาไม่สามารถพูดหรือบอกใครได้ ?
โบว์ : คือเราต้องปิดวาจาตลอด 24 ชั่วโมง ก็เลยต้องเก็บไว้คนเดียวเพราะไม่อยากพูดกับใคร
ตอนนี้หัวใจมูฟออนเรียบร้อยมีหนุ่มมาจีบกี่คน ?
โบว์ : เราไปทีละคน สองปีที่ผ่านมามีคนเข้ามาได้เรียนรู้แล้วก็ได้อยู่ ณวันนี้ก็มีอยู่ค่ะ ด้วยระยะเวลามันผ่านการมูฟออน มันอยู่ในจุดที่เราพร้อม ขจัดความ Toxic ออก เพราะก่อนหน้านี้คนที่เข้ามาเราอาจจะคาราคาซังกับตัวเองอยู่ คือมันเหมือนมีกำแพง เหมือนกับเราปิดกั้นตัวเองกับคนๆ นั้นไป แต่พอผ่านเวลามาซักสองปี เราไม่มีความสงสัย ความ Toxic ที่เรานำไปให้อีกคน มันก็เลยสบายๆ
แล้วคนนี้เป็นยังไง ?
โบว์ : โบว์แค่รู้สึกว่าเวลาเราได้พูดคุยกันเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ โบว์ได้เป็นตัวของตัวเองจริงๆ ไม่ต้องมีมาด เราเป็นของเราแบบนี้เธอโอเคไหม
คนในวงการหรือคนนอกวงการ?
โบว์ : นอกวงการ คือมีคนรู้จักแนะนำ กลุ่มเพื่อนๆ ก็ลองพูดคุยกันดู มีอะไรหลายอย่างที่เหมือนไม่เหมือนกัน อย่างอะไรที่ไม่เหมือนกันมันสามารถเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้
ทำไมถึงเปิดใจกับคนนี้ ?
โบว์ : มันพอดีมั้ง ในไอจีไม่มีๆ (เขิน) ยังไม่เปิด อยู่ในจุดที่ขออีกนิดนึงค่ะ
ณ. ตอนที่มีคนมาจีบมีทั้งคนในและนอกวงการ ทำไมถึงเลือกที่จะโอเคกับคนนอกวงการ?
โบว์: มันไม่เกี่ยวว่าในหรือนอกดีกว่า อยู่ที่บุคคลคนนั้นคุยแล้วคลิกกันหรือเปล่า มันรู้สึกว่าเราเห็นอนาคตเหมือนกันไหม เรามีไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกันไหม คือถึงไม่ได้ใกล้เคียง 100% มันมีอะไรที่เราสามารถปรับจูนหาจุดที่เราโอเค โบว์รู้สึกว่าอยู่ถึงจุดๆ หนึ่ง แล้วมันสบายใจมันสำคัญมาก
มุมมองความรักของโบว์ตอนนี้เป็นยังไง ?
โบว์ : พอเวลาเราผ่านอะไรมา มันแน่นอนว่าเราผ่านการปิดกั้นตัวเองมา แต่เรารู้สึกว่าเราหันมาใส่ใจตัวเองให้เกียรติตัวเอง ทุ่มเทความรักให้กับตัวเอง อะไรๆ มันจะลงล็อก โบว์เพิ่งเข้าใจนะความรักอะไรที่มันง่ายๆ มันเป็นยังไง
อีกนานไหมจะเปิดตัว ?
โบว์ : เดี๋ยวบอกนะแม่
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์ : https://youtu.be/tXOLJdzEzz4?si=jiGJ4q4boGYKcCh5