ลีลาชีวิต/ทวี สุรฤทธิกุล
“ความเป็นไทย” ไม่เพียงแต่เด่นชัดด้วยความเป็นอิสระ แต่ยังรักพวกพ้อง ความเป็นพี่น้อง และผูกพันกันแบบญาตินั้นเสมอ
“สงครามเบ้งเฮ็ก” ทำให้เรารู้ว่าคนไทยนั้นมีชื่อเสียงในเรื่อง “ความรักความสามัคคี” มาแต่โบราณ อย่างน้อยคนจีนก็รู้เรื่องนี้ดี จากบันทึกประวัติศาสตร์ที่เขียนเป็นวรรณกรรมอมตะเรื่อง “สากก๊ก” ดังที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้นำมาสาธยายไว้ในหนังสือเรื่อง “เบ้งเฮ็กผู้ถูกกลืนทั้งเป็น” อันเป็นตอนหนึ่งในหนังสือสามก๊ก ที่กล่าวถึงการปราบกบฏในดินแดนทางตอนใต้ของจีน ที่มีเบ้งเฮ็กเป็นผู้นำคนสำคัญของการก่อกบฏแบ่งแยกการปกครองนั้น ซึ่งขงเบ้งที่ว่าเป็นยอดปราชญ์ผู้มีความฉลาดล้ำเหลือนั้นก็ยัง “ทึ่ง” เมื่อพยายามที่จะเอาชนะเบ้งเฮ็ก ผู้นำรัฐไทย แม้จะเอาชนะในการรบได้ถึง 7 ครั้ง และพยายามจะ “ล้างทิฐิ” หรือ “กลืนทั้งเป็น” คือเปลี่ยนใจเบ้งเฮ็กหลังการรบในทุกครั้ง ด้วยการไม่ฆ่าไม่ทรมาน แต่พยายามที่จะทำให้เบ้งเฮ็ก “หมดท่า -หมดความสำคัญ” ไม่ให้มีใครนับถือ ซึ่งก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดยในครั้งสุดท้ายที่พยายามจะให้เบ้งเฮ็กนำคนไทยมาสวามิภักดิ์ เบ้งเฮ็กก็ไม่ทำตาม แต่ได้พาคนไทยอพยพออกมาจากถิ่นฐานเดิมลงมาทางใต้ กระจายกันไปอยู่ตามถิ่นที่ต่าง ๆ แล้วสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อว่า รัฐไทยในยุคพ่อขุนบางกลางท่าว ที่ต่อมาก็คือรัฐสุโขทัยนั้น ก็มีคนไทยที่เป็นลูกหลานของเบ้งเฮ็กนี่เองที่มาก่อร่างสร้างเมืองต่าง ๆ
ประเด็นนี้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อมโยงว่า กษัตริย์เมืองเหนือที่มีชื่อเสียงพระองค์หนึ่ง คือพญาเม็งราย ผู้สร้างเมืองเชียงราย รวมถึงเมืองลำพูนและเมืองเชียงใหม่นั้น มีเชื้อสายมาจากเบ้งเฮ็ก ซึ่งนั่นก็อาจจะพอขยายความได้ว่า คนไทยจำนวนมากในสมัยนั้นก็คือคนที่สืบเชื้อสายมาจากคนไทยในหว่านเครือของเบ้งเฮ็กนั่นเอง โดยท่านได้วิเคราะห์คำว่า “เบ้ง” ให้เห็นความเชื่อมโยงดังว่านี้
“หวนกลับไปคิดถึงพี่ ๆ น้อง ๆ แซ่เบ้ง หนังสือสามก๊กมิได้กล่าวถึงอีกเลย แต่จะว่าตระกูลเบ้งนั้นสิ้นชื่อสิ้นสาวนาหมดความสำคัญก็ยังไม่แน่นัก คำว่า เบ้ง นั้นอ่านตามสำเนียงจีนฮกเกี้ยน ซึ่งใช้ในหนังสือสามก๊ก แต่ถ้าอ่านด้วยภาษากลาง จะต้องอ่านว่า หมิ่ง อ่านตามสำเนียงแต้จิ๋วก็ว่า เหมง อ่านตามสำเนียงกวางตุ้งว่า แม่ง และอ่านตามสำเนียงไหหลำว่า เหม่ง ฉะนั้นคำว่า เบ้ง ถ้าจะอ่านตามสำเนียงไทย ก็จะต้องอ้านว่า เม็ง เป็นแน่แท้ เบ้งเฮ็ก ก็จะต้องอ่านว่า เม็งเฮ็ก ... และน่าสนใจหรือไม่ ในเมื่ออีกหลายร้อยปีต่อมา มีบูรพกษัตริย์ไทยพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า เม็งฮาย ซึ่งสำเนียงทางใต้นี้เรียกว่า เม็งราย”
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่ได้แปลความคำว่า “เฮ็ก” หรือบอกว่าน่าจะมีที่มาอย่างไร แต่ถ้าเราพิจารณาจากชื่อของพญาเม็งราย ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เชื่อว่า “เบ้ง” ก็คือ “เม็ง” และ “ฮาย” ก็คือ “ราย” ก็คงเป็นไปได้ในแนวเดียวกันว่า “เบ้งเฮ็ก” ก็น่าจะเป็น “เม็งเร็ก” ซึ่งคำว่า “เร็ก” ไม่มีคำที่ใช้กันอยู่ในภาคเหนือ แต่ถ้าจะเป็น “เม็งเล็ก” เพราะคนเหนือมักจะออกเสียง ร เรือ เป็น ล ลิง อยู่โดยทั่วไป กระนั้นถ้าจะแปลชื่อผู้นำรัฐไทยคนนี้ว่า ท่านเล็ก แซ่เม็ง ก็คงไม่ใช่คำที่ใช้กันในภาคเหนือ โดยคำที่มีความหมายว่า “เล็ก” คนเหนือก็จะใช้คำว่า “น้อย” ดังนั้นจึงยังไม่สามารถหาคำแปลอะไรให้กับ “เฮ็ก” หรือ “เร็ก” นี้ได้
อย่างไรก็ตาม ที่ผู้เขียนสนใจและคิดว่าชื่อ เบ้งเฮ็ก นี้ น่าจะเกี่ยวข้องกับ “ความเป็นไทย” หรือ “คนไทย” อีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อ เบ้ง อ่านเป็นจีนต่าง ๆ ได้ว่า หมิ่ง เหมง เม่ง และ เหม่ง นั่นแล้ว ซึ่งคำในกลุ่มนี้ผู้เขียนเคยพบว่าในเพลงจีนกลาง “หมิ่ง” นี้จะมีความหมายถึง “แสงสว่าง” ที่คำไทยทางเหนือใช้คำว่า “ฮุ่ง” หรือไทยภาคกลางคือ “รุ่ง” โดยเมืองสำคัญของคนไทยในมลฑณยูนนาน ที่ชื่อ เจียงฮุ่ง หรือ เชียงรุ้ง นั้น ก็น่าจะเคยออกเสียงว่า เจียงรุ่ง ได้เช่นกัน โดยคำว่า “รุ่ง” นี้ ผู้รู้บางท่านบอกว่าคนโบราณใช้คำว่า “ร่วง” ซึ่งตำนานเกี่ยวกับรัฐไทยจะกล่าวถึง “พระร่วง” ไว้มาก โดยเฉพาะเรื่องการสร้างรัฐไทย ด้วยการใช้ “บุญญาธิการ” ของพระร่วง เอาชนะพวกขอมที่ยึดครองดินแดนแถบนี้เป็นเมืองขึ้นอยู่ในสมัยโบราณนั้น
แนวคิดที่ว่าคนไทยอพยพลงมาจากตอนใต้ของจีนนี้ เป็นทฤษฎี “ใหญ่” หรือเป็นหลักในแนวคิดเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของชนชาติไทย โดยเฉพาะที่ศึกษากันมาในสถาบันการศึกษายุคเก่า ซึ่งได้อาศัยตำราจากต่างประเทศของฝรั่ง ที่นักวิชาการฝรั่งกลุ่มนี้ก็อาศัยเอกสารจากจีนเป็นหลัก ดังเช่นที่มีบันทึกไว้ในวรรณกรรมเรื่องสามก๊กนี้ แต่ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการบางกลุ่มได้เสนอแนวคิดใหม่อีกแนวคิดหนึ่งว่า คนไทยได้อาศัยอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในทุกวันนี้มาตั้งแต่เป็นพัน ๆ ปีนั้นแล้ว โดยอ้างเหตุผลว่าถ้าคนไทยมาจากจีนจริง ๆ ก็น่าจะได้รับอิทธิพลในด้านความเชื่อ ความคิด วัฒนธรรมประเพณี ภาษา และวิถีชีวิตต่าง ๆ ที่เป็นจีนมากกว่านี้ (เช่น ลัทธิขงจื้อ หรือการกินด้วยตะเกียบ ฯลฯ) แต่คนไทยกลับมีความเป็นพุทธและฮินดูเอามาก ๆ ซึ่งเป็นอารยธรรมของอินเดีย ซึ่งท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เองก็เคยเขียนไว้ในบทความของท่านว่า คนไทยนี่เองที่เป็นพวก “คลั่งตะวันตก” มาโดยตลอด เช่น รับเอาอิทธิพลในด้านต่าง ๆ ของอินเดีย มาตั้งแต่ยุคโบราณ (อินเดียก็อยู่ทางทิศตะวันตกของไทย) หรือจากยุโรปและสหรัฐอเมริกาในยุคสมัยใหม่ (ที่เราเรียกว่าประเทศตะวันตกในความหมายปัจจุบัน)
เรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของคนไทยนี้ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านเคยบอกกับลูกศิษย์ลูกหาว่า คงยังหาข้อสรุปไม่ได้ รวมถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติไทยที่ว่า อาณาจักรแรกของรัฐไทยก็คือ “กรุงสุโขทัย” นั้นด้วย เพราะถ้าจะว่าไปแล้วในยุคเดียวกันที่กรุงสุโขทัยเกิดขึ้นนั้น ก็มีเมืองใหญ่ ๆ อยู่หลายเมืองบนดินแดนแถบนี้ ที่เชื่อว่าเป็น “เมืองของคนไทย” ไม่ว่าจะเป็นเมืองเชียงราย เมืองหริภุญชัย และเมืองราด ทางเหนือ เมืองลพบุรี เมืองอู่ทอง และเมืองพริบพรี ทางภาคกลาง หรือลงไปถึงทางใต้ที่เมืองนครศรีธรรมราช เมืองชุมพร และเมืองไชยา ซึ่งก็มีหลักฐานว่า เมืองเหล่านี้มีความเจริญอยู่ในยุคเดียวกัน เพียงแต่อาณาจักรสุโขทัยมี “เรื่องราว” ที่โดดเด่นเหนือกว่า โดยเฉพาะการเอาชนะพวกขอม ทำให้กษัตริย์ของสุโขทัย คือพ่อขุนบางกลางท่าว หรือพ่อขุนบางกลางหาว ได้รับการสนับสนุนจากเจ้าเมืองในภาคเหนือ ให้เป็นศูนย์กลางของเมืองเหล่านั้น เรียกกันว่า อาณาจักรสุโขทัย ดังกล่าว
กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของกรุงสุโขทัยน่าจะมีเพียง 3 พระองค์ หนึ่งก็คือ พ่อขุนบางกลางท่าว ที่ต่อมาทรงพระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ผู้สถาปนากรุงสุโขทัย สองคือ พ่อขุนรามคำแหง ผู้ที่ให้จารึกแท่งศิลาเป็นประวัติศาสตร์ของกรุงสุโขทัย ผู้สร้างภาษาไทย และสถาปนาพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ให้เป็นศาสนาหลักของชาติ และสามคือ พญาลิไท ผู้สร้างพระพุทธชินราช และวรรณกรรมทางศาสนาชื่อ เตภูมิถา (อีกชื่อหนึ่งคือ ไตรภูมิพระร่วง) ทั้งนี้เป็นที่น่าเสียดายว่า อาณาจักรสุโขทัยนี้ตั้งอยู่ได้เพียงร้อยปีเศษ มีกษัตริย์เพียง 6 พระองค์ ก็ต้องตกไปอยู่ภายใต้ “การอารักขา” ของอาณาจักรอยุธยา ที่เติบโตขยายเมืองมาจากการอพยพเข้ามาของพระเจ้าอู่ทอง จากเมืองอู่ทอง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในยุคเดียวกันกับกรุงสุโขทัยนั่นเอง
ผู้เขียนใช้คำว่า “สุโขทัยเป็นเมืองในอารักขาของอยุธยา” เพราะสุโขทัยไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของอยุธยาตามแบบที่เป็นอยู่ทั่ว ๆ ไปในยุคนั้น ซึ่งเมืองขึ้นมักเกิดจากการยอมสวามิภักดิ์ให้ถูกปกครอง หรือไม่ก็พ่ายแพ้สงครามแก่เมืองที่มาโจมตี แต่สุโขทัยเหมือนจะค่อย ๆ หมดอำนาจไป จนไม่เป็นที่ยอมรับนับถือจากเมืองที่มารายรอบในอดีต ที่สุดอยุธยาก็อ้างสิทธิเข้าปกครอง แต่ก็ไม่ได้พัฒนาหรือทะนุบำรุงให้รุ่งเรือง โดยเชื่อว่ากษัตริย์อยุธยาไม่ต้องการที่จะให้สุโขทัยยิ่งใหญ่มาเป็นคู่แข่ง แต่กษัตริย์อยุธยาได้ไปบำรุงเมืองพิษณุโลก ทั้งนี้เพื่อให้เป็นเมืองสำคัญทางภาคเหนือขึ้นมาแทนในเวลาต่อมา
น่าสนใจถึงวิธี “เข้าปกครอง” ของผู้ปกครองบนดินแดนต่าง ๆ ในประเทศไทย ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่า คนไทยมีลักษณะเด่นมาก ๆ ในเรื่องนี้