ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
"...การคิดบวกเหมือนจะสร้างสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตและสังคม..อย่างล้นเหลือ...คำสอนสั่งในหลากหลายมิติล้วนแต่ระบุว่า..การคิดบวกเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับำหรับการอยู่ร่วมกันในวันนี้..เป็นพลังใจที่จะเลี่ยงพ้นจากการท้อถอย..เป็นอาวุธสำคัญที่จะล่วงพ้นรสชาติของความเจ็บปวด..มันจึงเปรียบดั่งการมองโลกในแง่งามที่ปราศจากพิษภัยใดๆ..ทั้งที่หลายๆคนอาจตกอยู่กับภาวะจริงที่เจ็บปวดและขมขืนอยู่..
เหตุนี้..การเอาแต่จมปลักและยึดมั่นอยู่กับความสุข โดยไม่ใส่ใจหรือมองข้ามความสำคัญของความทุกข์ จึ่งเป็นเหมือนภาพลวงตา..ที่มีพิษร้ายแฝงอยู่อย่างล้ำลึกและจริงจัง..โดยไม่ได้รับการแก้ไขใดๆเลย..เป็นความกลัดหนองในเนื้อในของชีวิต..จนทำให้ถึงขนาดซวดเซและฝันร้าย..ภาวการณ์ดั่งกล่าวนี้..กลายเป็นสาระเรื่องราวที่ตอกย้ำให้ทุกคนได้ตระหนักว่า..การกลายเป็นพิษของคนคิดบวกในแต่ละคน..สามารถเกิดขึ้นได้..แม้มันจะไม่ใช่พิษร้าย..แต่มันก็คือเสี้ยนหนามที่ระคายพื้นผิวแห่งความรู้สึกของชีวิตแห่งชีวิตได้..เช่นกัน! นี่เป็นสาระใจความที่เกิด ผัสสะรับรู้อันจริงแท้ได้..จากหนังสือแห่งความคิดและตระหนักรู้เล่มสำคัญ.. “TOXIC POSITIVITY” : คิดบวกเป็นพิษ...”
...ซึ่งเขียนโดย.. “วิตนีย์ กู๊ดแมน” (Whitney Goodman) นักจิตบำบัดซึ่งมีผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่าห้าแสนคน..ซึ่งได้เปิดเผยงานวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับ “TOXIC POSITIVITY” พร้อมยกตัวอย่าง “เคสจริง” ในความสัมพันธ์ประเภทต่างๆ..ให้เราได้ก้าวอยู่เหนือ..ความสุขจอมปลอม..สร้างนิสัยและพฤติกรรมที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง พัฒนาความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกว่าการมีเวลาดีๆร่วมกัน..
“วิตนีย์” ..ได้พบว่า..การคิดบวกตลอดเวลา...แม้ในยามที่ชีวิตเจอเรื่องเลวร้าย..ก็จักสร้างปัญหามากกว่าการแก้ปัญหา..เธอต้องการชี้ประโยชน์...ในหนังสือของตน แล้วชี้หนทาง..ทางจิตวิทยาที่เหมาะสม..ในการรับมือกับชะตาชีวิต.. “จะหนีไปทางไหน..ใครก็บอกให้เราคิดบวก จนการคิดบวกกลายเป็นสูตรสำเร็จ บนโลกสมัยใหม่..แต่ทำไม..เราต้องเศร้าซึม..ไร้สุข และรู้สึกตายด้าน..ลึกๆ อยู่ข้างใน..”
โดยแท้จริง..เป็นไปไม่ได้หรอกที่มนุษย์จะคิดบวกอยู่ตลอดเวลา..เพราะการกระทำแบบนั้น มันส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต..มันจะนำไปสู่การเก็บกด..อีกทั้งความคิดเชิงลบ ก็มีหน้าที่ของมันอยู่..แต่ด้วยอุตสาหกรรม การพัฒนาตนเอง(Self-help) หรือ “Self Improvement”/อุตสาหกรรมโค้ชชิ่ง..กระแส Good Vibes ตลอดจน “Law of Attraction”..เป็นผลให้การคิดบวกจึงเฟื่ิองฟู..ถึงขนาดมีการประกาศสรรพคุณว่า.. การคิดบวก จะดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต..! “วิตนีย์”..ได้บอกว่า..การคิดบวกไม่ใช่สิ่งเลวร้าย ในตัวมันเอง..มันมีข้อดีต่อการใช้ชีวิต และคนพูดก็มักปรารถนาดี..แต่ว่ามันต้องอาศัยความเข้าใจ..อย่างลึกซึ้งต่อจังหวะเวลา สถานการณ์ฯลฯ..ฉะนั้นมันจึงเป็นพิษ..ความเป็นมาของความคิดบวก..คือสิ่งที่ “วิตนี่ย์”..ย้อนกลับไปเล่าถึงกลุ่มผู้อพยพ.. “ลัทธิคาลวิน” ที่เดินทางมายังอเมริกา..พวกเขามีความเชื่อว่า.. “มนุษย์มีธรรมชาติอันชั่วร้าย”..และ “ความสุขเป็นบาป”
ดังนั้น..พวกเขาจึงสอนให้หมั่นสำรวจความคิดลบในจิตใจ และเป็นการทำงานหนัก..ด้วยหวังว่าจะได้รับการเลือกจากพระเจ้า ..แต่ทว่า ความเชื่อเช่นนี้ยากจะแพร่หลาย..ตลอดสองสามศตวรรษที่ผ่านมา มันถูกปรับเปลี่ยนเป็นขบวนการความคิดใหม่..(New Theory Movement) ถึงศตวรรษที่ 19..
มันจึงหันสู่ความเชื่อที่ว่า..การคิดบวกมีพลังในการเยียวยา..แต่ด้วยพลังวิทยาศาสตร์และการแพทย์ ที่เยียวยากสุขภาพได้ดีกว่า..ก็บีบให้ขบวนการแนวคิดใหม่ ต้องปรับตัวอีกครั้ง..จากสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี..สู่ความมั่นคงและความสำเร็จ..! เหตุนี้..การจะช่วยเหลือสนับสนุนในสิ่งที่"เขา"เผชิญและปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้น..จึงอาจแก้ได้ ด้วยการให้ใครสักคน มาช่วยยืนยันว่า.. “ความคิด หรือ ความรู้สึกลบๆของพวกเขาเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความผิด หรือสิ่งเลวร้ายอะไร..”
ทั้งนี้..ก็เพื่อจะให้ “เขา” รู้สึกปลอดภัย ที่จะเผยความรู้สึกในแง่ลบที่มีอยู่..เพราะหลายๆคนก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า..การเป็นผู้ฟังที่ดี รับฟังอย่างตั้งใจ..ไม่คิดแบบฉาบฉวย หรือ แค่ให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ ง่ายๆเลย..เราลองคิดว่า..ตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์มืดแปดด้าน..หากมีคนมาพูดกับเรา..เช่น “ลองมองหาสิ่งดีๆ ในสถานการณ์นี้ดูสิ ../มีความสุขเข้าไว้สิ/..หรือ อย่ายอมแพ้สิ”..คำพูดเหล่านี้..จะช่วยคุณได้จริงๆ หรือ?
และ..ถ้าหากเราลองให้กำลังใจ ประโยคที่สื่อความหมายเดิม..แต่เป็นถ้อยคำที่ไม่กดดันพวกเขามากเกินไปเช่น..”ไม่เป็นไรนะ..มันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เราจะคิดเป็นลบ..ในสถานการณ์แบบนี้ ..หรือ..ทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร!”
กล่าวโดยสรุป..คุณประโยชน์ของการคิดบวกก็คือ ..เราสามารถที่จะบอกให้คนที่ประสบปัญหาในชีวิต มีกำลังใจมากขึ้น โดยไม่ว่าพวกเขาจะมีปัญหามากมายแค่ไหน?..อย่างไร?..พวกเขาก็ยังสามารถที่จะมีความสุขในชีวิตได้..ถ้าพวกเขาพยายามกันมาก็พอ ..เพราะเราสามารถหาความสุขจากสิ่งอื่นๆได้มากพอในโลกนี้..
แต่การช่วยให้คิดบวกแบบนี้..จะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้รับฟังสนใจที่จะฟัง และทำตามเราเท่านั้น..แต่สำหรับคนที่ไม่ต้องการคำแนะนำแล้ว...การไปบอกให้เขาคิดบวก ก็อาจทำให้พวกเขานึกรำคาญขึ้นมาแทน..!นั่นจึงผูกโยงไปถึงว่า..การเป็นอยู่ที่ดี..ย่อมต้องสำคัญเสมอ..แม้ว่าการคิดบวก จะมีแนวโน้มที่ทำให้เรามีสุขภาวะ..ที่ดีขึ้น แต่เราก็จะไม่เพิ่มปัจจัยอื่นๆเจ้าไปด้วย..
เพราะว่า..ถ้าเราไม่ดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง..เราก็ย่อมต้องเจ็บไข้ได้ป่วย..ได้ง่ายๆ..ไม่ว่าเราจะคิดบวกขนาดไหนก็ตาม ดังนั้น..การเป็นอยู่ที่ดี..มีที่อยู่อาศัย มีงานทำ..มีอาชีพที่พอจะเลี้ยงตนเองได้ จึงถือว่าเป็นสิ่งที่เรา ..ไม่ควรที่จะละเลย..เพื่อที่เราจะได้มีชีวิตอย่างแท้จริง..!
รวมทั้ง..การแนะนำที่ทำให้คนที่กำลังเศร้าใจ หรือเจ็บปวดให้คิดบวก อาจไม่ได้รับผลที่ดีเสมอไปนัก..เพราะในสถานการณ์เหล่านี้..คนส่วนใหญ่มักที่จะต้องการ ความเห็นใจจากผู้อื่น ..ต้องการให้มีคนมาปลอบใจ..พวกเขาอาจไม่ต้องการคำแนะนำอะไรทั้งนั้น..ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดทางบวกแบบไหน..?..
หรือการแนะนำให้ไปดื่มน้ำสมุนไพร..หรือน้ำผลไม้..พวกเขาก็ไม่ต้องการฟัง..เพราะว่ามันไม่ได้ช่วยให้พวกเขาสบายใจขึ้น..
สิ่งที่จะช่วยทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นก็คือ..การที่มีคนมาอยู่ข้างๆ..คอยเอาอกเอาใจ..และคอยให้กำลังใจแก่เขาเท่านั้น..!
ดังนั้น..ก่อนที่จะให้คำแนะนำแก่ใครในเรื่องคิดบวก เราก็ควรที่จะดูด้วยว่า..อีกฝ่ายนั้น..มีความต้องการแบบไหน?..แล้วเราก็ค่อยให้ในสิ่งที่เขาต้องการไป..การกระทำแบบนี้.."จึงจะทำให้การคิดบวกไม่เป็นพิษ"..!
สุดท้าย..การคิดบวกจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ดี..ถ้าเราใช้ได้ถูกสถานการณ์..แต่เมื่อใดก็ตาม..ที่เราพยายามจะคิดบวกในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย การคิดบวกนั้น..อาจได้ผลในเชิงตรงกันข้ามแทน และอาจจะกลับกลายเป็นพิษ..แล้วย้อนกลับมาทำร้ายเราได้..เช่น..ในกรณีที่มีคนต้องการ ที่จะมาปรึกษาปัญหาชีวิตกับเรา ผม ในเชิงที่ชวนให้เขาต้องปฏิเสธความจริง โดยไม่มีทางที่จะช่วยบอกทางบวกให้แก่พวกเขาเลย..ในแบบนี้ถือว่า..
เป็น “การคิดบวกแบบผิดวิธี” ..เพราะนอกจากจะไม่ช่วยในการแก้ปัญหาแล้ว..ยังทำให้ผู้รับฟังรู้สึกแย่..ตามไปด้วย....!
“การคิดบวกเป็นพิษ” (TOXIC POSITIVITY) ถือเป็นหนังสือที่พลิกด้านของการรับรู้ในรู้สึกอันเป็นสามัญ...เพื่อที่จะเข้าใจนัยรู้สึกเชิงลึก ในโครงสร้างที่ว่า..ไม่มีอะไรในโลกนี้..ที่จะไม่สร้างพิษร้ายต่อชีวิตของเรา..ยิ่งเป็นบริบทแห่งเงื่อนไขของความดีงาม
การตระะหนักในวิธีสัจจะที่ระบุว่าการคิดบวกเป็นพิษ..นั่นคือการหยั่งเห็นเนื้อแท้แห่งชีวิตด้วยดวงตาภายในอันเจิดกระจ่าง..การพินิจพิเคราะห์ตามกระแสธารแห่งจิตวิญญาณที่ซ้อนสลับดั่งนี้..จึงคือบทสรุปแห่งการปฏิบัติ เชิงความคิดในการใตร่ตรองที่เป็นคุณค่าต่อความหมายอันเป็นความสมบูรณ์พร้อม..ที่จักคงอยู่เพื่อพิสูจน์ ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปรที่เป็นวัฏจักรนิรันดร์..สืบไป..!
“วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ” นักแปลเลื่องชื่อ..ผู้เป็นนายของ..นัยแห่งภาษาเรื่องราว..แปลหนังสือในเชิง “Society Help” เล่มนี้อย่างหนักแน่นและเข้าใจ..มันคือลมหายใจแห่งยุคสมัย..ที่ร่วมพิเคราะห์โลกแห่งการมีชีวิตอยู่ ณ วันนี้อย่างแม่นตรงในลึกเร้น..
“..การคิดบวกไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องเสมอไป..และมันอาจจะกลายเป็น “ยาพิษ” ได้..เมื่อเราใช้มันอย่างผิดที่ผิดเวลา..!”