นักแสดงเจ้าบทบาทแถมมากความสามารถ อย่าง พิม พิมพ์พรรณ ที่วันนี้จะมาเปิดใจหลังเจอวิกฤติละครหดหลังเคยเป็นเจ้าแม่ละคร ปัจจุบันผันตัวไปเป็นแม่ค้า ตระเวนออกบูธขายน้ำเลม่อน ชานม รวมถึงประกาศขายคอนโดที่เคยอยู่ พร้อมเผยเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาส่งท้ายปีที่ผ่านมา เพราะตรวจเจอค่ามะเร็ง จำเป็นต้องตัดมดลูกทิ้ง ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มี ธัญญ่า ธัญญาเรศ และหนิง ปณิตา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
ตอนนี้มีทำอะไรบ้าง ?
พิม : ตอนนี้ก็มีเล่นละครเป็นหลัก แล้วก็ออกบูธขายน้ำเลม่อน ชานมนานาชาติ มีชาไทย ชาพม่า ชาอินเดีย ชาอู่หลง ชาเอิร์ลเกรย์ คือเราชอบคิดอยู่แล้ว บวกกับเคยขายชานมไต้หวันมาก่อนตั้งแต่ก่อนโควิด แล้วก็เลิกทำเพราะพิษโควิด แต่ตอนนี้ก็เลยมาพัฒนาเอาชาอันนั้น ชาอันนี้มามิกซ์กันก็เลยกลายเป็นชานมนานาชาติ ซึ่งมันก็อร่อยมาก
ทำไมอยู่ๆ ถึงผันตัวเองมาเป็นแม่ค้า?
พิม : จุดเปลี่ยนก็คือ ก่อนหน้านี้งานละครมันค่อยๆ ซาลง แล้วน้องสาวก็เจอปัญหาเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เขามีหนี้สิน เราก็ต้องไปซัพพอร์ต และมันเป็นจังหวะที่เป็นปีชงพอดี มันก็เกิดเรื่องราว เราเป็นพรีเซนเตอร์มา 20 ปี อยู่ดีๆ เศรษฐกิจมันเปลี่ยนเขาก็เลยยกเลิกสัญญา แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต้องซัพพอร์ตน้อง เรามีบูธฟรี บูธดาราเยอะ ก็เลยเอาผลิตภัณฑ์ของน้องมาขายด้วยกัน ช่วงนั้นหนักมาก แม่ก็เสียในปีนั้นด้วย ก็เลยจริงจังเริ่มคิดสูตรขึ้นมา
วงการบันเทิงก็มีผลกระทบกับดาราหลายคน อย่างของพิมเองสาเหตุของงานละครน้อยลงมันเกี่ยวข้องไหม?
พิม : เกี่ยวข้องมากๆ เมื่อก่อนพิมจะงานเยอะ เปิดไปช่องไหนก็เห็น แต่พอมาช่วงหลังอย่างที่รู้กัน ผู้จัดก็น้อยลง เนื่องจากว่าเศรษฐกิจ การซื้อโฆษณาก็น้อยลง ก็เลยหยุดผลิตไปเยอะ แต่ก็ยังดีที่เรายังมีงานที่เขาจ้างเราอยู่ แล้วก็มีเวลาว่างมากขึ้น
ก่อนหน้านี้พีคที่สุดต่อปีรับกี่เรื่อง ?
พิม : ประมาณ 10 เรื่องได้ คือบทพิมไม่ได้ดำเนินเรื่องทั้งหมด มันก็เลยพอมีเวลาที่จะแบ่งได้ แล้วก็โชคดีไม่ค่อยมีปัญหาแบบคิวชนกัน แล้วมันก็เป็นแบบนั้นอยู่หลายปี จนมาช่วง 2 ปีหลังนี่ที่มันซาๆ ลง อย่างน่าตกใจ เพื่อนบางคนเรียกว่านอนอยู่บ้านแล้ว ไม่มีงานจ้าง
แล้วอย่างปีนี้มีละครกี่เรื่อง ?
พิม : ตอนนี้มีอยู่ 2 เรื่องค่ะ กำลังถ่ายทำอยู่ 7 วัน ก็ต้องขอบคุณความโชคดีของเราที่เรายังมีงานอยู่ ช่วงเวลาที่เราว่างมากๆ ถามว่าเรามีภาระที่ต้องคิดมากไหม มันก็ไม่ได้มีเหมือนคนอื่น เพราะว่าเราไม่ได้มีหนี้สิน แต่ว่าเวลาที่เราอยู่บ้านว่างๆ มันรู้สึกว่าตัวเราไม่มีค่า จนเรามาคิดว่าเราจะเอาเวลาตรงนี้ไปทำอะไรให้มีค่ามากขึ้น ก็เลยได้คิดค้นสูตรที่เราชอบ
ก็เลยเป็นแม่ค้าเต็มตัว ทำเองทุกขั้นตอน?
พิม : ทำเองทุกขั้นตอน ขนของเอง จัดร้านเอง ยืนขายเอง ทุกอย่าง จนน้องร้านข้างๆ บอกพี่พิมผมสงสารพี่จังเอาคนของร้านผมไปช่วยก็ได้
พอเป็นดาราไปขายของ ก็ต้องมีคนเม้าท์ว่าตกอับ กับข่าวแบบนี้เวลาเราได้เห็นเรารู้สึกยังไงบ้าง?
พิม : พิมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย คิดว่าบางคนก็อาจจะอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมดาราถึงมาขายของ เพราะในมุมความคิดของสมัยก่อนดาราเป็นอะไรที่อยู่สูง สวยๆ รวยเป็นไฮโซ การมาทำอาชีพแม่ค้าเขาจะมองว่าทำไมคนนี้ตกลงมา ถามว่าเรื่องเงินไม่ควรเป็นตัววัดว่าทำอาชีพอะไร หรือไม่ควรทำอาชีพอะไร ทุกคนมีอาชีพที่สุจริต แล้วรักที่จะทำ พิมว่าไม่ผิดที่จะทำ
สนุกไหมกับการเป็นแม่ค้า ?
พิม : สนุกมาก แล้วมันก็เหนื่อยมาก แต่มันเหนื่อยด้วยรอยยิ้ม
เคยคิดจะผันตัวเองจากวงการ แล้วไปทำธุรกิจเต็มตัว ไปลุยกับธุรกิจชาเต็มตัวไหม?
พิม : พิมว่าพิมเกิดมาเพื่อเป็นนักแสดง มันเป็นอาชีพที่ทุกครั้งที่มากองมันมีความสุขมากๆ แต่ถ้าวันหนึ่งที่มันดรอปลงแล้ว คิดว่าต้องมีอาชีพ 2-3 สำรองไว้ เราด้วยความที่เราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการเงินสักเท่าไหร่ ก็เอาที่เราแฮปปี้ และทำแล้วมีความสุข ตอนนี้มันมีเวลาว่างเยอะมากที่เราจะคิดว่าเราจะทำอะไรต่อไปที่มันมีความสุข แล้วก็สามารถหล่อเลี้ยงตัวเองได้
นอกจากเป็นแม่ค้าขายชาแล้ว ตอนนี้ยังเป็นแม่ค้าอสังหาด้วย ล่าสุดประกาศขายคอนโดตัวเองก่อนเลยที่เคยอยู่?
พิม : คือพิมซื้อคอนโดนานแล้ว อยู่มา 5 ปีแล้ว ย้ายที่อยู่ มาซื้อที่ใหม่ ที่เก่าก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำอะไรเพราะไม่มีคนอยู่ ปล่อยเช่าก็กลัวโทรมก็เลยขายดีกว่า เผื่อเอาเงินก้อนนั้นมาทำอย่างอื่นได้ ไปลงทุนในคอนโดที่อื่นได้
พอประกาศขายคอนโดก็โดนอีก ติดขัดอะไรหรือเปล่าทำไมต้องรีบขาย?
พิม : ก็ยังโชคดีที่พิมไม่ติดขัดแบบนั้น เรียกว่าโตขึ้นมาลำบากมาก แทบไม่มีบ้านให้อยู่ เพราะว่าพ่อทำธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็โดนยึดทุกอย่าง เราก็ต้องดูแลน้อง ดูแลทุกคนในครอบครัว ตั้งแต่ยังไม่จบมหาลัย ก็เลยเป็นสาวแกร่ง เป็นนักสู้ ไม่อยากมีหนี้ พยายามโปะทุกอย่าง จนตอนนี้ที่ใหม่ก็โปะแล้ว ที่เก่าก็ไม่มีหนี้ เลยรู้สึกว่าความไม่มีหนี้มันเป็นอะไรที่วิเศษที่สุดแล้ว
เห็นบอกว่าพิมกลัวการเป็นหนี้มาก เหมือนเป็นแพนิคถ้าต้องซื้อสิ่งใดที่ต้องเป็นหนี้ คือกังวลมาก?
พิม : ใช่พิมอาจจะเว่อร์ไปนิดนึง สมมติถ้าพิมจะซื้อบ้านสักหนึ่งหลังราคา 5 พัน พิมจำเป็นต้องมีเงินก่อน งานในวงการมันไม่แน่นอน ถ้าเกิดวันนึงเรามีเงินไม่พอที่จะใช้หนี้ กลัวจะโดนยึด
ไม่ว่าพิมจะซื้ออะไรสักอย่าง ต้องมีเงินเต็มก้อนก่อน ถึงแม้จะเป็นการผ่อนก็ตามถูกไหม?
พิม : ใช่ ถ้าเรามีไม่พอเราก็ไม่ต้องรีบซื้อ
แต่มันไม่ถึงกับเครียดใช่ไหม ที่เราต้องหาให้ถึงก้อนนี้ก่อนแล้วเราค่อยใช้ได้?
พิม : ไม่รีบเลยค่ะ ไม่เครียด เพราะว่าเราสะสมมาเรื่อยๆ จนมาจุดหนึ่งที่เราอยากขยาย ซึ่งมันก็พร้อมที่จะมีตั้งแต่ตอนนั้น แต่ที่เราหนักก็คือต้องดูแลทุกคน
ครอบครัวมีกี่คน ?
พิม : ตอนนี้เหลือแค่น้อง และอาที่เป็นสามีของแม่ แม่เสียไปแล้ว พ่อเสียไปแล้ว ก็ต้องดูแลคุณอาเขาต่อ เขาอายุเยอะแล้ว
กี่ปีแล้วที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว ?
พิม : ก็ตั้งแต่มหาลัย พอเรียนจบก็ทำแบงค์แล้วก็ขายประกัน ต้องซื้อบ้านจากที่โดนยึดกลับมา แล้วก็ส่งน้องเรียนหนังสือ แล้วก็เลี้ยงดูแม่ เพราะแม่กับพ่อแยกกัน ก็จะมีหลายครอบครัวที่เราต้องดูแล
เห็นว่าปีที่แล้วมีปัญหาเรื่องสุขภาพที่มันเกิดขึ้น ?
พิม : ใช่ๆ เกี่ยวกับมดลูก คือมดลูกมันมีซีสอยู่นานแล้ว คุณหมอบอกว่าต้องกินยาควบคุม ก็เป็นฮอร์โมนอะไรแบบนี้ เพื่อไม่ให้มันโตขึ้น แล้วทีนี้มันอ้วน พอออกกล้องแล้วมันทำงานยาก ก็เลยขอคุณหมอหยุดยา แล้วไปเช็คอัพทุก 6 เดือน แต่พอผ่านไป 6 เดือน มันโตไวมาก โตไวขนาดแบบมดลูกมันบิดตัวจนหมอบอกตัดทิ้งเถอะ คือมันปวดท้องหนักทุกครั้ง แต่เวลาที่เราเทคฮอร์โมนมันจะไม่มีประจำเดือน มันเลยไม่มีการปวดท้อง คุณหมอเลยส่งไป MRI เพราะตรวจเลือดแล้วมันมีเชื้อมะเร็งอยู่นิดหน่อย ซึ่งมันก็เสี่ยงมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นคอนเฟิร์มว่าเป็นมะเร็ง แค่พบว่ามันมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้
พอคุณหมอพูดแบบนั้นเราใจหายเลยไหม?
พิม : พิมเป็นคนไม่ค่อยตกใจกับอะไรอย่างนี้ สมมติถ้าเป็นก็รักษาก็ทำให้มันดีที่สุด
ณ ปัจจุบันตัดออกไปแล้ว?
พิม : ตัดไปแล้วทั้งยวง ยกเว้นรังไข่ไว้ปล่อยฮอร์โมน เราจะได้ไม่ต้องเทคฮอร์โมน ก็สบายมากเลย
แล้วผลต่อสุขภาพเราตอนนี้ ?
พิม : ไม่มีเลย เพราะว่าเราตัดมดลูกกับปีกมดลูก แต่ว่าเรายังเหลือรังไข่ที่ปล่อยฮอร์โมน คือคนที่ไม่มีรังไข่ เขาจะต้องเทกแล้วจะทำให้แก่ก่อนวัย แต่ว่าพิมยังมีรังไข่ที่ปล่อยฮอร์โมน แล้วตัดมดลูกไปมันก็ลดความเสี่ยงที่เป็นมะเร็ง แต่ตอนนี้ก็ต้องไปเช็คร่างกายทุกเดือน แล้วก็เทคฮอร์โมน 10 เดือน ให้มันคุมอยู่ก็ยังอ้วนๆ หน่อย
เห็นว่าตอนรู้ว่ามีเชื่อมะเร็ง คนที่กลัวที่สุดไม่ใช่พิม แต่เป็นคนใกล้ตัวพิม?
พิม : ใช่ ดูหน้าเขารู้เลยว่าเป็นห่วงมาก ตอนที่พิมไป MRI เพื่อดูว่ามันเป็นมะเร็งหรือเปล่าก่อนจะผ่าตัดเนี่ย ก็จะมีคนไข้ที่รอ MRI หันไปเห็นผู้ชายคนนึงเขานั่งกังวลหนักกว่าเราก็คือแฟนเรานั่นแหละ เขากังวลมากๆ จนเรารู้สึกว่าเราต้องรักสุขภาพแล้วแหละ เพราะว่าคนที่อยู่กับเราในบั้นปลายหรือ ณ ตอนนี้ก็คือเขา ถ้าเราเป็นอะไรไป เขาก็ต้องรับภาระดูแลเรามากกว่าใคร ใจวูบเลย ตอนเห็นหน้าเขา
ตอนนั้นเขาพูดอะไรกับเราไหมตอนที่เราจะเข้าไป MRI?
พิม : มันอยู่ไกลกัน เราแค่เห็นสีหน้าเขารู้สึกว่าเขาทุกข์มาก
พิมต้องสู้กับอะไรหลายๆ อย่าง จนมาถึงวันนี้ มันยากไหม?
พิม : มันยากนะ สำหรับพิมที่ต้นทุนชีวิตมันไม่มี ติดลบต้้งแต่เราเริ่ม บางคนเขายังมีครอบครัวที่ซัพพอร์ตได้ แต่ของเราต้องซัพพอร์ตครอบครัวตั้งแต่เราเริ่มที่จะใช้ชีวิตหาเงิน มันเหนื่อย แต่เราภูมิใจในตัวเองเหลือเกิน มันเหมือนเราเป็นนักสู้จริงๆ ที่เราสามารถมาถึงทุกวันนี้โดยที่เราไม่ได้มีต้นทุนมา เราสามารถดูแลทุกคนได้ หายห่วง สร้างธุรกิจให้น้องๆ ได้
แกร่งแบบนี้มีน้ำตาบ้างไหม?
พิม : เป็นคนที่ไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นนอกจากช่วง 2 ปีที่แล้วหลายอย่างเข้ามา คือนั่งร้องไห้คนเดียว ตอนนั้นแฟนอยู่อเมริกา เราร้องไห้แล้วกรี๊ดๆ ไม่รู้ว่าอาการนั้นมันซึมเศร้าหรือว่าอะไร ไม่เข้าใจตัวเอง
เท่ากับ 2 ปีที่ผ่านมาที่เกิดเรื่องกับพิมคือ คุณแม่เสีย แล้วก็เรื่องวงการบันเทิงที่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเยอะ?
พิม : ใช่ แล้วพรีเซ็นเตอร์ที่ทำมา 20 ปี เขาหยุดสัญญากับพรีเซ็นเตอร์ทุกคน มันกะทันหันมากๆ แล้วน้องที่เขาเดือดร้อนแล้วเขาไม่เคยบอกเราว่าเขาเอาบ้านเขาไปกู้เงิน เราก็เลยต้องมารับผิดชอบทักอย่าง มันก็ยังช็อกๆ อยู่นิดนึง เพราะอินคำต่อเดือนมันน้อยลงกะทันหันก็เลยคิดนิดนึง
เอากำลังใจมาจากไหน แฟนอยู่เมืองนอก แล้เรากรี๊ด ร้องไห้คนเดียว?
พิม : ไม่บอกใครนะ ทุกวันนี้เขาก็ไม่รู้ว่าเราเป็นอย่างนั้น แต่ว่าทุกวันเราคุยกันอยู่แล้ว ได้กำลังใจจากเขาล้วนๆ เพราะว่าเขาเป็นคนคิดบวก ก็แฮปปี้มากๆ เลยที่มีเขา
อาการที่นั่งร้องไห้แล้วกรี๊ดออกมา มันถึงขั้นเราเป็นซึมเศร้าไหม?
พิม : ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการนั้นมันเรียกว่าอะไร แต่เราอยู่ในห้อง มองเหม่อออกไปแล้วร้องไห้ เหมือนอยากจะกรี๊ดเพื่อระบายความเครียดออกมา
เป็นนานไหม?
พิม : เป็นแค่วันเดียว ครั้งเดียว
ทุกวันนี้ทำพินัยกรรมแล้ว?
พิม : ใช่ ทำสักพักแล้ว พิมต้องวางแผนว่าสิ่งที่เรามี ที่เราสร้างไว้ใครจะได้บ้าง มีน้องสาวต้องได้ละ แฟนต้องได้ละถ้าเราเป็นอะไรไป แล้วน้องแฟนคลับที่รักกัน ดูแลเราเนี่ยก็ต้องแบ่งให้เขา เพราะเราอยู่กันเหมือนพี่น้อง
ทำไมเราต้องวางแผน มีอะไรที่เรากังวลใจและยังไม่ได้พูดออกมาบ้างไหม?
พิม : ถ้าพิมไม่วางแผนทุกอย่างก็จะเป็นชื่อคนใดคนนึง ตอนนั้นแม่ยังไม่เสีย แล้วถ้าแม่เป็นอะไรไป มันต้องกระจายไปเป็นของใครบ้าง แล้วน้องจะเหลืออะไร อันดับแรกๆ เป็นห่วงน้องมากที่สุด เพราะว่าทุกคนเขาเอาตัวรอดได้ อย่างแฟนไม่ต้องห่วงเขาอยู่แล้ว เพราะเขามีต้นทุนดี ก็มีน้องสาวนี่แหละ
ที่น่ารักที่สุดคือมีชื่อแฟนคลับด้วย?
พิม : เพราะช่วงที่ผ่านมาเขาอยู่กับเราตลอดตอนที่เราไม่มีแฟน ไปไหนไปกัน ดูแลให้ใจเต็มร้อย เมื่อก่อนคนเดียว แต่ตอนนี้เริ่มมากขึ้นแล้ว เดี๋ยวเขียนใหม่ คือพิมเป็นคนที่ใครอยู่ข้างแล้วเห็นเขาลำบาก ไม่อยากให้เป็นแบบนั้น อยากสร้างอาชีพให้เขาได้มีเงินทุน เพราะมันสำคัญมาก คนขยันถ้ามันไม่มีทุนเขาก็ไปต่อหม่ได้
สนิทขนาดไหนกับแฟนคลับที่เราถึงขั้นแบ่งพินัยกรรมให้?
พิม : เรียกว่าอยู่กับเราตลอด เวลาเราเรียกใช้อะไรเขายินดีด้วยซ้ำ ไม่อิดออดด้วย
อยากให้พิมบอกเป็นวิทยาทานนิดนึง เริ่มแรกมาจากการปวดท้องก่อน?
พิม : ใช่ค่ะ ปวดท้อง มีประจำเดือนเยอะแบบ 30 วันเต็มเลย แล้วเริ่มไปตรวจ พบว่ามีซีสต์ก่อน ก็ผ่าออกไปแล้วรอบนึง แต่ในมดลูกมันไม่สามารถผ่าออกได้หมด เพราะว่ามันเป็นผังผืด ก็เก็บไว้ทานยาคุมควบคุมไป แต่ความที่กินยามันอ้วน มันก็ลำบากเนอะ แต่เขาให้ทางเลือกว่าผ่าตัดมดลูกก็ได้ แต่สำหรับหมอ หมอคิดว่ายังไม่จำเป็น เพราะเรายังทานฮอร์โมนควบคุมได้ ถ้าตัดมดลูกก็หมายความว่าเราก็มีลูกไม่ได้แล้ว ก็เก็บไว้คิดก่อน แล้วหลังๆ ขอหมอหยุดฮอร์โมนได้ไหม เพราะว่าน้ำหนักขึ้น
พูดง่ายๆ เราห่วงงานจนเกินไปใช่ไหม คิดว่าเราจะไม่เป็นอะไร แล้วก็ไม่ผ่าตัด?
พิม : ใช่ อ้วนขึ้นเป็น 10 โล เราก็เลยบอกว่าถ้างั้นมาทุก 3 เดือนได้ไหมค่ะ
แล้วเหตุผลที่ทำให้เราตัดมดลูกจริงๆ คือค่ามะเร็งไหม?
พิม : คือค่ามะเร็งมันขึ้นตั้งแต่ก่อนเจอซีสแล้วแต่ว่ามันยังไม่เยอะมาก แต่ตอนหลังมันก็ค่อยๆ ขึ้น จนหมอบอกว่าไป MRI ดู แล้วพอออกมาคุณหมอคอนเฟิร์มว่าตัดเลย
จริงๆ พิมอยากมีลูกถูกต้องไหม?
พิม : อยากมีมาก คือเราไม่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ เราก็อยากมีครอบครัวที่มีสามีที่น่ารัก มีลูก เราคิดอย่างนั้น แต่ว่าพอมีแฟนก็คิดกับเขาเรื่อยๆ มา ก็พอจะเดาได้ว่าเขาอาจจะไม่พร้อมที่จะมีลูก ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่เขาก็ไม่ได้บอกตรงๆ ว่าลูก 1 คนต้องใช้เงินเท่าไหร่ แล้วตอนนี้เราอายุ 40 กว่า จะเหนื่อยไหม เราอยู่ด้วยความเข้าใจกัน มันมีความสุขมากๆ อยู่แล้ว
พอหมอบอกว่าเราตัดมดลูกทิ้ง เท่ากับเราไม่มีโอกาสที่จะมีลูกอีกแล้ว ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง?
พิม : แอบร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น
ที่ร้องไห้เพราะมันมีความฝันด้วยไหม?
พิม : ใช่ เราคิดว่าเขาเป็นพ่อที่คุณภาพ และเราก็เป็นแม่ที่คุณภาพ มันเสียดาย
พอเราร้องไห้กับเรื่องนี้ แฟนเรารับรู้ไหมว่าเราเสียใจกับเรื่องนี้?
พิม : ก็รู้ เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยดีกว่า เดี๋ยวเราจะเศร้าไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้แล้ว มันเปลี่ยนใจเขาไม่ได้แล้ว เขาไม่อยากให้เราไปจมกับสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว
ทำไมวันนี้ดูพิมเศร้าจัง?
พิม : ใช่ไหม มันอาจจะมีเรื่องที่เรากังวล ตอนนี้มันเลยเศร้า แต่ถามว่ามันจำเป็นต้องคิดมากอะไรขนาดนั้นไหม มันไม่จำเป็น เพราะเรามีทุกอย่างที่เราวางแผนไว้ แต่อาจจะเป็นจังหวะที่เราอาจจะน้อยใจ ทั้งที่เรามั่นใจว่าเราก็เป็นนักแสดงมืออาชีพคนนึง แต่มันก็เข้าใจ
แฟนเรากลับมาอยู่เมืองไทยกี่ปีแล้ว?
พิม : น่าจะปีที่ 5 แล้ว คบกันตั้งแต่เขาอยู่ที่นู้นก็วีดิโอคอล 1 ปี แล้วมาอยู่นี่ 4 ปีกว่า ทั้งชีวิตที่ผ่านมาที่มีแฟน เนสเป็นคนที่เป็นได้ทั้งเพื่อน เป็นได้ทั้งที่ปรึกษา เป็นทุกอย่างเลย ถามว่ามีทะเลาะไหม ก็มีทุกคนแหละ พอเราโตขึ้น เราก็เริ่มรู้สึกที่จะต้องปรับความเข้าใจกัน
เหตุผลอะไรที่ทำให้เขายอมกลับมาอยู่ไทยกับพิม?
พิม : ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ดีๆ เขาก็มา แล้วเช่าโรงแรมอยู่ของเขา แล้วก็ไม่ไปไหนเลย ผ่านมา 4-5 ปีแล้ว เขาก็ยังอยู่ที่นี่ แปลว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าการเจอกันครั้งนี้คือการมูฟชีวิตเขามาอยู่ที่นี่เลย
ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama
คลิปสัมภาษณ์ : https://youtu.be/HnZWTQ9hpKY?si=T3D3S_T0HEQMQaIB