สมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่ ประสานภาครัฐ หาแนวทางร่วม ฟันฝ่าอุปสรรค์ พร้อมเชื่อมั่นตลาดยังเติบโต หวังสร้างพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ นายสมศักดิ์ ศรีรัตนประภาส นายกสมาคมผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ใหม่ เปิดเผยว่า ในปี 2561 ทางสมาคมฯ ซึ่งได้ดำเนินงานมากว่า 7 ปี จนเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ทำให้ในปีที่ผ่านนั้น ทางสมาคมฯ และหน่วยงานภาครัฐ สามารถประสานงาน และดำเนินงานในด้านต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นจากปีก่อน ทั้งมีการประชุม เจรจา เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ร่วมกัน เพื่อให้การดำเนินกิจการของบริษัทผู้นำเข้ารถยนต์ เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งในด้านของการชำระภาษี และด้านพิธีการนำเข้ารถยนต์ เป็นการสร้างความมั่นใจ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค ทั้งนี้ทางนายกสมาคมผู้นำเข้า และจำหน่ายรถยนต์ใหม่ ได้เปิดเผยตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์นำเข้าของปี 2561 ไว้ที่ประมาณ 4,000 คัน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เกือบ 500 คัน โดยในช่วงไตรมาส 1-3 ของปีนี้ ยังคงทำยอดขายได้ดี ด้วยปัจจัยที่มีรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะรถยนต์เอนกประสงค์ แบบ MPV แต่พอเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 ตัวเลขยอดจำหน่ายหดตัวลงไป ด้วยปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจโดยรวม ที่มีผลมาจากปัญหาระหว่างอเมริกา และ จีน ทำให้กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ผู้บริโภคจึงเกิดการชะลอตัวในการตัดสินใจที่จะใช้จ่าย “ในปี 2561 ที่ผ่านมานั้นตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์นำเข้า ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ คือน้อยกว่าที่คาดไว้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจริงๆ แล้ว ในช่วงไตรมาสที่ 1 – 3 นั้น ยังคงสามารถทำยอดจำหน่ายได้ตามเป้า แต่เริ่มมาหดตัวลงในช่วงปลายไตรมาสที่ 3 จนถึงไตรมาสที่ 4 โดยผลมาจากปัจจัยหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่เชื่อว่ารถยนต์นำเข้ายังเป็นสินค้าที่ยังสามารถทำตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสเติบโตได้อีก เพราะเป็นสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ทั้งในด้านของคุณภาพ และความหลากหลายที่ผู้บริโภคสามารถเลือกตามความต้องการได้ สำหรับปี 2562 คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์นำเข้าจะโตขึ้น 5 – 10 เปอร์เซ็นต์ โดยตลาดส่วนใหญ่ยังคงมุ่งเน้นไปที่รถยนต์เอนกประสงค์แบบ MPV ทั้งจากฝั่งญี่ปุ่น และยุโรป ที่ยังเป็นที่นิยมมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจะยังมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอีกกว่า 20 รุ่น โดยเฉพาะรถยอดนิยมอย่าง ปอร์เช่ ที่จะเปิดตัวรถยนต์ใหม่เกือบทุกรุ่นในปีหน้า ประกอบกับการที่จะมีการเลือกตั้งในช่วงต้นปี ทางภาคเอกชนจึงคาดหวังว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะดีขึ้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นที่ยอมรับจากต่างชาติมากขึ้น และรัฐน่าจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจรากหญ้าให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตร ทั้งในด้านราคาข้าว ราคายางพารา และการประมง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมได้เป็นอย่างดี”