“ปธ.วิปฝ่ายค้าน”เชื่อสส.พรรคร่วม "น้ำท่วมปาก" เกิดสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดอดเอาข้อมูลซักฟอกให้ “ฝ่ายค้าน” ดักคอ “นายกฯอิ๊งค์” เชื่อพฤหัสฯนี้คงติดภารกิจไม่มาตอบกระทู้อีก “จุลพันธ์” แย้มคุยกฤษฎีการาบรื่น ปม “ร่างกม.สถานบันเทิงฯ” ลั่นไม่ใช่กาสิโน พร้อมยกโมเดลธุรกิจทั่วโลก มีไม่เกิน 10% ขอสังคมอย่าคิดเกินจริง ส่วน “ทวี”ลั่นไม่กังวล “เสรีพิศุทธ์” จ้องจับยัดคุก เซ่น ”คดีชั้น 14” แซะไม่รู้อ่านกฎหมายฉบับไหน ยันไม่ฟังคนอื่น นอกจาก ป.ป.ช. ขณะที่ “นายกฯอิ๊งค์” ยันตัวจริง “ทักษิณ” ใจดี งงขึ้นเวทีหาเสียง อบจ.เดือดทุกที เปรียบ “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” แข่งกันเหมือนกีฬา นอกสนามยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ร่วมมือกัน 100%


เมื่อวันที่ 28 ม.ค.68 นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า เตรียมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการอภิปรายจะอยู่ในช่วงเดือนครึ่งแรกของเดือนมี.ค. ช่วงต้นเดือนหน้าได้นัดพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านไว้แล้ว อาจจะเป็นการประชุมและรับประทานอาหารร่วมกันเหมือนกันตอนดินเนอร์พรรคร่วมฝ่ายค้านครั้งที่แล้ว ซึ่งครั้งนี้ พรรคไทยสร้างไทยจะเป็นเจ้าภาพ


เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้เคยมี สส. เช่น นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน เคยระบุว่ามีคนในพรรคร่วมรัฐบาลทนไม่ไหว ส่งข้อมูลการอภิปรายมาให้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายปกรณ์วุฒิ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ก็ได้ ตั้งแต่ตนเป็น สส.สมัยที่แล้วก็เคยมี สส.ฝั่งรัฐบาลนำข้อมูลบางอย่างมาให้ อาจจะไม่ถึงกับข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจ


"ผมคิดว่าก็มีความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ในหลายๆเรื่องในพรรคร่วมรัฐบาล เป็นสิ่งที่ควรจะถูกแก้ไข แต่เขาไม่สามารถพูดเองได้ ด้วยความที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล น้ำท่วมปาก ก็จะยื่นมาให้ผมลองนำไปขับเคลื่อนต่อดูก็เป็นไปได้ว่าอย่าง สส.กายเอง สส.ฝั่งรัฐบาลก็อาจจะมองเห็นศักยภาพว่าถ้ามอบข้อมูลบางอย่างที่อาจจะนำไปสู่การไม่ไว้วางใจได้ ก็อาจจะเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน" นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่เคยมีข่าวว่านายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เคยถูกข่มขู่ว่าจะให้พ้นจากเก้าอี้ โดยนำเงิน 300 ล้านมาแลก นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ปัญหานี้คงไม่ได้สะท้อนสถานภาพของรัฐบาล แต่สะท้อนเสถียรภาพของประชาธิปไตยไทยด้วยว่าถ้าอยากเป็นรัฐมนตรีต้องใช้เงิน 300 ล้าน แล้วประชาธิปไตยไทยถูกขับเคลื่อนด้วยอะไร ตำแหน่งรัฐมนตรีถูกเลือกกันด้วยอะไร ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกลมา จนถึงประชาชนก็พูดมาตลอด


เมื่อถามว่าข้อมูลอภิปรายประเด็นไหนถือว่าเด็ดที่สุด นายปกรณ์วุฒิ หัวเราะ พร้อมกล่าวว่า ยังไม่บอก ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าจะมีเป็นน้ำจิ้มมาให้ก่อนหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เปิดมาก็รู้พร้อมกัน

นายปกรณวุฒิ ยังกล่าวถึงการประชุมวิปฝ่ายค้านว่า วันพุธที่ 29 ม.ค. จะเป็นการพิจารณาร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งมาให้สภาฯ พิจารณา ซึ่งร่างที่พรรคประชาชนจะต้องจับตาคือร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตั๋วร่วมของกระทรวงคมนาคม โดยจะมีร่างของนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงค์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนยื่นเข้าไปประกบ เพื่อแก้ไขในบางประเด็น อีกร่างคือพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย ซึ่งคงจะใช้เวลาไม่ค่ำมากและคงจะผ่านไปได้ด้วยดี เพราะฝ่ายค้านและรัฐบาลคงจะเห็นพ้องต้องกัน


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงความคืบหน้าการเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือยกร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจ สถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ...หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ว่า ตอนนี้มีการหารือแล้ว 3-4 ครั้ง ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาหารือ


เมื่อถามว่ากระทรวงมหาดไทยมีข้อเสนอต่อการร่างกฎหมายอย่างไรบ้าง เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ไม่ได้มีอะไร ส่วนใหญ่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ข้อสังเกตไว้ อย่างเรื่องการรักษาการร่วมดำเนินการ และการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งไม่ได้มีประเด็นอะไร


เมื่อถามถึงกรณีที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ให้สัมภาษณ์วานนี้ (27มค.68) ว่ากฎหมายจะไม่มีการตราเรื่องสัดส่วนกาสิโน 10% ลงไปในนั้น เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น

เมื่อถามย้ำว่ากฤษฎีกามองว่าควรจะมีการบัญญัติ สัดส่วนของกาสิโนลงไปในกฎหมายเลยหรือไม่ เนื่องจากหากไม่มีการเขียนลงไปอย่างชัดเจนจะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย เลขาฯกฤษฎีกา กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงแค่ นายจุลพันธ์ มาชี้แจงและเล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ได้ข้อยุติขนาดนั้น


ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า การพูดคุยไม่มีอะไร ราบรื่นดี ขอยืนยันว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ใช่ร่างกาสิโน

เมื่อถามย้ำว่า ได้มีการชี้แจ้งเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ อย่างไร นายจุลพันธ์กล่าวว่าได้ชี้แจงตามข้อเท็จจริง และเป็นไปในแนวทางนโยบายแห่งรัฐ โดยสรุปว่านโยบายนี้คือองค์ประกอบ ของธุรกิจหลายรูปแบบ โดยรัฐบาลสามารถกำหนดได้ ซึ่งกาสิโนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ขณะที่สัดส่วนกาสิโนไม่ได้มีการเขียนในกฎหมายตั้งแต่ต้น เพราะเราไม่อยากเอาความคิดของเราไปกำหนด เพราะไม่รู้ว่าผู้กำหนดนโยบายในขณะนั้น จะกำหนดอะไร เช่น กำหนดให้มีสนามกีฬาสัดส่วนของกาสิโนก็อาจจะเหลือเพียง 1-2% ซึ่งเราไม่สามารถกำหนดได้ ฉะนั้นจึงอยู่ที่เจตจำนงค์ ของผู้กำหนดนโยบายในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งเปิดกว้างเอาไว้ แต่หากต้องกำหนด เช่น ไม่เกิน 10% ก็สามารถดำเนินการได้ ไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถบริหารจัดการได้


“นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องกาสิโน และนี่จะเป็นจุดเปลี่ยนในการผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ และดึงดูดเม็ดเงินกว่าแสนล้าน ฉะนั้นจึงต้องมีความโปร่งใสและกลไก ที่รองรับได้ ขณะที่รายละเอียดของสถานที่ก็จะยังไม่เขียนในรายละเอียดของร่างกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากเป็นอำนาจของ ซุปเปอร์บอร์ดในอนาคต (คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร)  เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตใครจะมาเป็นผู้บริหาร”
เมื่อถามว่า หากไม่มีการเขียนในกฎหมาย แสดงว่าในอนาคตสามารถเพิ่มสัดส่วนเกินกว่า 10% ได้หรือไม่ ชี้แจงว่า ตามหลักโมเดลธุรกิจไม่เกินอยู่แล้ว เพราะมาตรฐานทั่วโลกไม่เกิน 5% เช่น สิงคโปร์ มีสัดส่วนกาสิโน 3% ฉะนั้นอย่าจินตนาการเลยสิ่งที่มันไม่เป็นจริง และข้อเท็จจริง พร้อมยืนยันว่าไม่กังวล ที่ขณะนี้สังคมกำลังจับตา เพราะทำตามหน้าที่และขั้นตอน


ส่วน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่าจะเอาคนที่เกี่ยวข้องกับการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าคุกทั้งหมดว่า เรื่องนี้อยู่ในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว ขอให้อยู่ในดุลยพินิจของ ป.ป.ช. ซึ่งอำนาจอยู่กับ ป.ป.ช. 


ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ยังไม่ได้เวชระเบียนจากโรงพยาบาลตำรวจ จะทำให้เป็นจุดอ่อนในเรื่องนี้หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เชื่อว่า ป.ป.ช.ต้องสอบสวนเรื่องนี้อยู่แล้ว อยู่ในดุลยพินิจ ป.ป.ช. ปกติเราจะมีกติกาอยู่แล้ว ถ้าเรื่องอยู่ในกระบวนการบังคับใช้กฎหมายหรือองค์กรอิสระ บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องไปให้การ 


เมื่อถามย้ำว่า จนถึงปัจจุบันยังไม่มีใครเห็นเวชระเบียน พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ต้องถาม ป.ป.ช. ทาง ป.ป.ช.ไม่เห็นออกมาบ่นอะไรเลย เมื่อถามอีกว่า ในส่วนของเวชระเบียน ถ้า ป.ป.ช. ขอ จำเป็นต้องให้ทั้งหมดหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ในเรื่องรายละเอียด หน่วยงานเขาคงคุยกันแล้ว และตนยังไม่เห็น ป.ป.ช. ออกมาพูดอะไร ป.ป.ช. เขาก็มีโฆษกสำนักงานอยู่แล้ว เดี๋ยวรอดู เพราะเราไม่อยากฟังจากคนที่ไม่ใช่ ป.ป.ช.พูด 
เมื่อถามว่า เวชระเบียนจะเป็นตัวยืนยันใช่หรือไม่ว่า นายทักษิณ ป่วยจริงหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ตนไม่มั่นใจ แต่ ป.ป.ช.เขาจะใช้ดุลยพินิจ ซึ่งอาจจะมีการเรียกคนไปสอบ แล้วอาจจะเพียงพอแล้วก็ได้ คำว่าพยานอาจจะมีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ ดังนั้นปกติเมื่อเรียกไปไต่สวน เขาอาจจะใช้พยานอันใดอันหนึ่งก็ได้ ทั้งหมดอยู่ในดุลยพินิจของ ป.ป.ช. 


ต่อข้อถามว่า ในส่วนของตัวท่านจะพิจารณาด้วยหรือไม่ว่า อาการป่วยของนายทักษิณถึงขั้นวิกฤติและควรจะไปแผนกใดแผนกหนึ่งก่อนจะไปที่ชั้น 14 หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่มีภาษานี้ในกฎหมายราชทัณฑ์ ซึ่งกฎหมายราชทัณฑ์บอกเพียงว่าถ้ามีอาการป่วยให้ส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว และให้อำนาจแพทย์ ซึ่งมีกระบวนการอยู่แล้วว่าอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ ส่วนราชทัณฑ์แค่เจ้าหน้าที่พยาบาลก็ได้ หรือมีเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการฝึกก็ได้ เพราะเขาถือว่าโรงพยาบาลที่ส่งก็คือเรือนจำอยู่แล้ว 


เมื่อถามอีกว่า ก่อนส่งตัวจำเป็นต้องขออนุญาตศาลก่อนหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า กฎหมายไม่มีระบุไว้ เราต้องปฏิบัติตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจน มาตรา 53 รัฐต้องปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ซึ่งกฎหมายจะเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน ไม่มีข้อความกำกวม หรือให้เป็นสมบัติของใคร เช่น ไม่มีคำว่าวิกฤติ กฎหมายเมื่อคนทั่วไปได้อ่านก็ต้องเข้าใจ ผู้พิพากษาอ่านก็ต้องเข้าใจ หรือประชาชนที่รู้หนังสืออ่านก็ต้องเข้าใจ 


เมื่อถามย้ำว่า พล.ต.อ.เสรีศุทธ์มองว่า มันต้องขออนุญาตศาลก่อนที่จะเคลื่อนย้ายผู้ต้องขัง พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่รู้ท่านอ่านกฎหมายฉบับไหน กรมราชทัณฑ์ต้องใช้ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ซึ่งปีๆ หนึ่งเราก็ส่งเกือบแสนคน หลายหมื่นคน จะเป็นลักษณะอย่างนี้หมด
เมื่อถามว่า เป็นห่วงเจ้าหน้าที่ที่ถูกลากเข้าไปอยู่ในกระบวนการนี้หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เรามีความมั่นใจ มีการเตรียมการที่จะไปให้การอยู่แล้ว ถ้าเรียกเราพร้อมที่จะไปให้การ

เมื่อถามอีกว่า ส่วนตัวกังวลหรือไม่ เพราะ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุว่าจะเอาผิดกับตัวท่านด้วย พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่มีความกังวลเลย เพราะเราทำตามกฎหมายและระเบียบทุกอย่าง

ส่วนน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.มีข้อกังวลอะไรหรือไม่ ว่า เราไม่มีอยู่แล้ว ในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็หาเสียงเต็มที่แล้วหวังว่าคนของพรรคเพื่อไทยจะมีโอกาสดูแลพี่น้องในท้องถิ่นให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือทุกคนทราบหน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้ว ไม่กังวลอะไร และได้สั่งการให้ตำรวจดูแลท้องที่อยู่แล้ว


ผู้สื่อข่าวถามกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงนายก อบจ.พรรคเพื่อไทย ในช่วงโค้งสุดท้ายปราศรัย ค่อนข้างดุเดือด นายกฯ กล่าวว่า ตัวจริงนายทักษิณใจดี แต่เวลาหาเสียงดุเดือดทุกที งง เหมือนกัน
เมื่อถามย้ำถามว่า การหาเสียงต่อสู้กันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย จะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์พรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ น.ส.แพทองธาร หันไปมองรัฐมนตรีด้านหลัง ที่ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลยืนอยู่ด้วย และกล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ไม่สบาย ขณะที่นายภูมิธรรมเวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวเสริมว่า “นายอนุทินเพิ่งคุยกับผม ยิ้มแย้มแจ่มใสดี”


“การลงแข่งเลือกตั้งก็คือการกีฬา ทีมไหนก็เชียร์ทีมตัวเองให้ชนะ ไม่จำเป็นว่าจบการกีฬาแล้วต้องโกรธกัน เกลียดกัน และนายกฯไม่ค่อยเกลียดใคร การเมืองเราสู้ด้วยประเด็นก็สู้ด้วยประเด็น นอกห้องเรานั่งทานข้าวกันเหมือนเดิม อย่ามองการเมืองว่าเราจะมองหน้ากันไม่ได้เลย ทุกพรรคมีสิทธิ์ที่จะส่งผู้สมัคร และเต็มที่กับการหาเสียงแค่นั้น“


ผู้สื่อข่าวถามว่า นายทักษิณยังประกาศไล่หนูตีงูเห่า ในการหาเสียงเลือกตั้งที่ จ.ศรีสะเกษ จะกระทบหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวย้ำว่า ถึงบอกว่าให้มองเหมือนการกีฬา ทุกพรรคมีสิทธิ์ส่งและรัฐบาลทำงานร่วมกันในเชิงนโยบายการบริหารประเทศ พอถึงเรื่องนี้เราจะเราต้องรีวมมือกัน 100% ในการผลักดันกฎหมายนโยบายและสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้นกับประชาชน ส่วนการลงแข่งเลือกตั้งท้องถิ่น เราเป็นคนละพรรคกันชัดเจนอยู่แล้ว เราคือรัฐบาลเดียวกัน ไม่ต้องงง เราเป็นรัฐบาลหลายพรรค


เมื่อถามถึงข้อสังเกตว่าพรรคร่วมรัฐบาลและนายอนุทิน มายืนร่วมในการแถลงข่าวหลังประชุมครม. นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีอะไร นายอนุทินไม่สบาย

วันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี เป็นที่สังเกตว่านายอนุทินไม่มายืนร่วมแถลงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายก ฯ  เหตุผลเป็นเพราะว่ามีการแข่งขันนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) กันหรือไม่ ว่า ไม่มายืนร่วมแถลงแค่อาทิตย์นี้อาทิตย์เดียว เพราะตนเสียงไม่มี เมื่อเช้าตนก็ไปหาหมอมา
เมื่อถามว่าอาการป่วยเกิดจากฝุ่น  PM2.5 ใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ตนมีอาการป่วยนั้น เพราะเมื่อวาน (28 ม.ค. 2568) ตนไป จ. เชียงใหม่ และมีลมแรง

เมื่อถามอีกว่าในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นได้มีการสู้กันอย่างดุเดือดระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย จะมีผลกระทบในการทำงานร่วมกันของรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า “สู้ที่ไหน ตนยังไม่ได้ลงไปช่วยตอนไหนเลย”


เมื่อถามอีกว่ากรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีต นายก ฯ ได้มีการกล่าวปราศรัยในสนามเลือกตั้งนายกอบจ. ศรีสะเกษ ตอนหนึ่งว่า “ไล่หนูตีงูเห่า” นายอนุทิน กล่าวว่า “ตนไม่ได้มียุ่งเกี่ยวอะไรเลย คำว่าไล่หนูตีงูเห่า เป็นคำพูดสมัย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดเมื่อนานมาแล้วไม่ใช่หรือ”


เมื่อถามอีกว่าแต่ครั้งนี้เป็นกรณีที่นายทักษิณเอานำกลับมาพูดอีกครั้ง นายอนุทิน กล่าวว่า “ไล่มาอยู่ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล” 

เมื่อถามว่าวันนี้มีอาการป่วยจนเสียงไม่มีแต่คะแนนเสียงยังมีอยู่หรือไม่  นายอนุทินหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า แข่งขันกันมันเป็นเรื่องปกติ เราแข่งขันกันรับใช้ประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่เราคุยกันหลายทีแล้ว 


เมื่อถามอีกว่า นายก ฯ ให้มาถามนายอนุทินว่าหลังประชุมครม. เสร็จสิ้น ได้มีการพูดคุยอะไรเพิ่มเติมบ้าง นายอนุทิน กล่าวว่า ”พูดแค่ว่าทำไมวันนี้อาหนูจมูกโด่ง ตนก็ตอบว่าได้หมอดี“