เรียบร้อยโรงเรียน “ลูกาเชนโกผนวกปูติน” ไปตามความคาดหมาย
สำหรับ การเลือกตั้งประธานาธิบดีเบลารุสที่มีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น
ผลปรากฏว่า “นายอเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก” ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
และมิใช่ชนะอย่างธรรมดาๆ แต่เป็นชัยชนะอย่างถล่มทลาย เหนือคู่แข่งอย่างท่วมท้น
ด้วยคะแนนที่ออกมา “นายลูกาเชนโก” ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบอิสระไม่สังกัดพรรคการเมือง ได้ไปจำนวนมากถึง 5.13 ล้านเสียง หรือคิดเป็นร้อยละ 86.82 พร้อมกับส่งผลให้เขา ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานาธิบดีของเบลารุสต่อไปอีก 1 สมัย เป็นสมัยที่ 7 ติดต่อกัน
ส่วนคู่แข่ง ซึ่งเหลือเพียงหนึ่งเดียว คือ “นายเซอร์ไก ซีรานคอฟ” ผู้สมัครฯ จาก “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งเบลารุส” หรือ “ซีพีบี” ได้คะแนนเสียงไปเพียง 1.89 แสนเสียง หรือคิดเป็นร้อยละ 3.21
ต้องถือว่า มีให้เห็นกันไม่บ่อยนัก ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบอิสระไม่สังกัดพรรคการเมือง คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายท่วมท้นเหนือคู่แข่งซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดพรรคการเมือง โดยเมื่อกล่าวถึงเบลารุสแล้ว หากพูดกันในยุคก่อนคริสต์ทศวรรษ 1990 หรือก่อนการล่มสลายของ “สหภาพโซเวียตรัสเซีย” ก็บอกได้เลยว่า พรรคคอมมิวนิสต์มีความเข้มแข็งแบบหนึ่งเดียว ไร้พรรคการเมืองอื่นเป็นเสี้ยนหนาม ทว่า มาถึง ณ ชั่วโมงนี้ ที่เบลารุส หาได้เป็นเช่นนั้นไม่แล้ว
กล่าวถึงตัวเลขของทางการเบลารุส ระบุว่า ประชาชนชาวเบลารุสที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้นราวกว่า 6.8 ล้านคน ส่วนผู้ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจริงๆ นั้นมีจำนวนเพียง 5.3 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 85.7 ซึ่งหายไปจากจำนวนตัวเลขที่แท้จริงถึงล้านกว่าคน
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ บรรดาฝ่ายค้านของเบลารุส แสดงทรรศนะว่า เพราะมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจต่อการบริหารปกครองของประธานาธิบดีลูกาเชนโก อพยพลี้ภัยออกนอกประเทศ ซึ่งมีจำนวนหลายแสน หรืออาจจะถึงล้านคน นอกจากนี้ ยังมีประชาชนที่ต่อต้านประธานาธิบดีลูกาเชนโกอีกจำนวนหนึ่ง ถูกทางการจับกุมคุมขังไปอีกจำนวนมากหลายหมื่นคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงปี 2022 (พ.ศ. 2565) ที่เกิดการเผชิญหน้ากันครั้งใหญ่ระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงกับฝ่ายรัฐบาลประธานาธิบดีลูกาเชนโก เนื่องจากประชาชนฝ่ายต่อต้าน ไม่พอใจอย่างรุนแรง จากการที่ประธานาธิบดีลูกาเชนโก สนับสนุนรัสเซียในการทำสงครามกับยูเครน ถึงกับเปิดไฟเขียวอนุญาตให้กองทัพรัสเซีย ใช้ประเทศเบลารุส เป็นเส้นทางเดินทัพ ยกกำลังข้ามพรมแดนเข้าไปโจมตียูเครน ก่อให้เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ต้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 (พ.ศ. 2565) เป็นต้นมา ซึ่งนำไปสู่การคว่ำบาตร หรือแซงก์ชัน จากเหล่าชาติตะวันตกที่มีต่อเบลารุส ทั้งนี้ ลำพังแต่ดั้งเดิม สถานการณ์เศรษกิจของเบลารุสก็ไม่ดีอยู่แล้ว เมื่อมาถูกซ้ำเติมจากการคว่ำบาตร ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจของเบลารุสเลวร้ายหนักยิ่งขึ้น จึงก่อม็อบประท้วง และเกิดการปะทะกับทางการ สุดท้ายนำไปสู่การปราบปรามกวาดล้างฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอย่างรุนแรง โดยมีผู้ถูกจับกุมหลายหมื่นคน ส่วนที่หนีการจับกุมได้ ก็ต้องลี้ภัยไปยังต่าประเทศ
ทั้งนี้ เมื่อกล่าวถึงทั้งการจับกุมและการลี้ภัยของประชาชนชาวเบลารุส นอกจากเพื่อหนีการปราบปรามกวาดล้างกันในเรื่องที่ไม่พอใจในการการคว่ำบาตรของเหล่าชาติตะวันตกเพราะเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครนแล้ว ก็ยังมีเหตุการณ์ที่รัฐบาลของประธานาธิบดีลูกาเชนโก ไล่ล่าล้างบางกลุ่มนักการเมืองฝ่ายค้าน และประชาชนที่ต่อต้านเขา จากผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2020 (พ.ศ. 2563) หรือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ที่ปรากฏว่า นายลูกาเชนโก เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลาย เหนือคู่แข่ง คือ “นางสเวียตลานา ซีคาโนว์สกายา” โดยนายลูกาเชนโก ประกาศว่า เขาได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นกว่า ร้อยละ 80
สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้แก่ประชาชนชาวเบลารุสฝ่ายต่อต้านรัฐบาล และทางฝ่ายของนางซีคาโนว์สกายา ที่กล่าวตอบโต้ว่า เป็นการเลือกตั้งที่สกปรก เต็มไปด้วยทุจริตฉ้อโกงสารพัด ก่อนก่อหวอดชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ และนำไปสู่การปราบปรามกวาดล้างบาง ทำให้มีถูกจับกุมตัวไปเป็นจำนวนมาก และจำนวนไม่น้อยต้องหลบหนีลี้ภัยไปต่างประเทศ รวมทั้งตัวของนางซีคาโนว์สกายาเอง ปัจจุบันนางซีคาโนว์สกายา มีพื้นที่ปฏิบัติการในฐานะฝ่ายต่อต้านรัฐบาลประธานาธิบดีเบลารุสทั้งในลิทัวเนียและโปแลนด์
โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีเบลารุส 2025 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนี้ ทางนางซีคาโนว์สกายา และพลพรรค ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนชาวเบลารุส ช่วยกันกาบัตรเลือกผู้สมัครฯ ฝ่ายที่ฝั่งตรงข้ามรัฐบาล เพื่อคว่ำประธานาธิบดีลูกาเชนโกให้ได้
ทว่า กระแสเสียงเรียกร้องของนางซีคาโนว์สกายาและพลพรรคฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเบลารุสไม่เป็นผล แม้มีรายงานกระเส็นกระสายออกมาว่า เหล่าชาติตะวันตกให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเบลารุสด้วยเช่นกัน ขณะที่ ทางฝั่งประธานาธิบดีลูกาเชนโก ได้พี่เบิ้มใหญ่ที่เป็นพันธมิตรคนสำคัญอย่างประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ให้การส่งเสริมเป็นประการต่างๆ
โดยมีรายงานก่อนหน้านั้นแล้ว ประชาชนชาวเบลารุสที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศเบลารุส จำนวนกว่าร้อยละ 80 - 85 ระบุว่า จะเทคะแนนให้แก่นายลูกาเชนโก ให้ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศอีกสมัย
ตัวเลขที่ออกมาก็เป็นไปตามนั้น เพราะผลคะแนนเสียงเลือกตั้งที่ใกล้เคียงกับการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน หรือการทำโพลล์ก่อนหน้า แม้ว่าบรรดาฝ่ายค้าน ฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีลูกาเชนโก ได้ออกมาบอกว่า เป็นการเลือกตั้งแบบจำอวด ที่เต็มไปด้วยการทุจริตโกงกันก็ตาม และเหล่าชาติตะวันตกต่างพากันออกมาคัดค้านต่อต้านการเลือกตั้งของเบลารุสครั้งนี้อย่างเสียงแข็ง พร้อมกับเรียกแบบตราหน้า ประธานาธิบดีลูกาเชนโกว่า เป็น “เผด็จการคนสุดท้ายแห่งยุโรป”
ทว่า ไม่ว่าใครจะต่อต้าน หรือเรียกขานกันอย่างไร นายลูกาเชนโก วัย 70 ปี ซึ่งนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีเบลารุสมานานถึง 30 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1994 (พ.ศ. 2537) หรือ 30 ปีที่ผ่านมา ก็ยังคงรักษาเก้าอี้ตัวนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย 5 ปีตามวาระ พร้อมกับเขย่าขวัญสั่นประสาทชาติยุโรปอื่นๆ ต่อไป เหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการอนุญาตให้กองทัพรัสเซียใช้ประเทศเป็นเส้นทางเดินทัพในศึกยูเครน หรือไฟเขียวให้กลุ่มนักรบรับจ้างวากเนอร์ที่น่าสะพรึงมาประจำการบริเวณพรมแดน จนโปแลนด์ ต้องเตรียมพร้อมทางการทหารสำหรับรับมือ