“จุลพันธ์”แจงร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงฯ ต่อกฤษฎีกา ยันไม่กำหนดสัดส่วน “กาสิโน” พร้อมเปิดกลุ่มทุนเสนอแนวคิดเต็มที่ เชื่อการพิจารณาร่างกฎหมายเป็นไปตามกรอบ “วิสุทธิ์” มั่นใจปมสอบ “ทักษิณ” ชั้น14 ไม่หนักใจ เขย่ารัฐบาล ยันเป็นไปตามกระบวนการ “เสรีพิศุทธ์”ให้ปากคำ ป.ป.ช. ปม “ทักษิณ” ป่วยชั้น 14 ยันไม่มีข้อมูลป่วยวิกฤตฉุกเฉิน แถมบอกฟิตกว่าตัวเองตอนนี้อีก เตือนผู้เกี่ยวข้องส่งตัวโดยไม่ขอศาล ระวังเจอคุก 6 เดือน ส่วน “สุริยะ”โต้เสียงวิจารณ์ขึ้น‘รถไฟฟ้าฟรี’แก้ฝุ่นP2.5 ถลุงงบ 140 ล้าน ละลายแม่น้ำ ชี้สถิติคนใช้รถส่วนตัวน้อยลง
เมื่อเวลา 12.50 น.วันที่ 27 ม.ค.68 ที่สำนักงานคณะกรรม การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เดินทางเข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.)
โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวก่อนเข้าให้ข้อมูลว่า วันนี้มาให้การเพิ่มเติม จากที่เคยมาให้แล้วก่อนหน้านี้ 1 ครั้ง โดยหนังสือเชิญบอกไว้ชัดแจ้งว่า ขอให้มาให้การเพิ่มเติมจากที่เคยให้ไว้ครั้งที่แล้ว โดยครั้งที่แล้วให้การเป็นข้อเท็จจริงไปหมดแล้ว แต่ว่าเวลาผ่านไปมันอาจจะมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากความเห็นของแพทยสภา ข้อมูลเวชระเบียน และมีข้อเท็จจริงอื่นๆที่ปรากฏออกมา โดยวันนี้รวบรวมมามอบให้นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช. ที่จะเป็นคนมาสอบปากคำด้วยตัวเอง แต่ไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด เพราะเป็นเรื่องที่จะพูดคุยในสำนวนการสอบ
“แต่สิ่งที่ผมจะย้ำคือ เรื่องของระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกี่ยวกับเวชระเบียนของผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปที่สามารถตรวจสอบได้ และขอยืนบันว่า ผู้ป่วยในต้องทำบันทึกข้อมูลเวชระเบียนทุกคน ดังนั้นเป็นเรื่องที่ ป.ป.ช. ต้องตรวจสอบว่ามีการส่งข้อมูลเวชชระเบียนมาครบหรือไม่ ซึ่ง ป.ป.ช. ก็มีกฎหมายว่า หากไม่ส่งเวชระเบียนมาถือว่ามีความผิด แต่ตอนนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการอะไร”พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
สำหรับกรณีที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมระบุว่าการที่นายทักษิณจ่ายค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลมีใบเสร็จถือเป็นหลักฐานการรักษาพยาบาลอยู่แล้ว พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ย้อนว่าใบเสร็จที่ไหนก็มี แต่ประเด็นอยู่ที่ป่วยวิกฤตหรือไม่ ถ้าไม่ป่วยวิกฤตจะส่งไปโรงพยาบาลตำรวจได้อย่างไร และประเด็นกำลังรอที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาแผนกคดีนักการเมืองว่าจะมีคำสั่งออกมาอย่างไร ให้ไต่สวนหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องที่กรมราชทัณฑ์ส่งผู้ป่วยไป โดยไม่ได้ขออนุญาตศาล ผิดกฎหมายให้หรือไม่ ซึ่งหากวินิจฉัยว่าให้ไต่สวน ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งใครที่ส่งผู้ป่วยไปโดยไม่ขอศาล คนเหล่านั้นก็ต้องรับผิดชอบ ซึ่งมีโทษจำคุก 6 เดือน
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ย้ำว่า ผู้ป่วยวิกฤติจริงจะต้องมีการตรวจสมอง หัวใจ และปอด แต่กรณีนายทักษิณ ไม่มีหลักฐานการตรวจใดๆ แม้กระทั่งจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และหากป่วยวิกฤตจริง ก็จะไม่มีการส่งไปชั้น 14 ทันที จะต้องมีการตรวจซ้ำ เข้าห้องฉุกเฉินก่อน แต่กรณีนี้ไม่มีข้อมูลใดๆ
เมื่อถามว่าตอนไปเยี่ยมนายทักษิณมีอาการอย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวพร้อมหัวเราะ ว่า ฟิตกว่าตนตอนนี้อีก
ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายฯ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่มีนักร้องที่จะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว ซึ่งทราบว่ามีผู้ร้องเรียนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการพิสูจน์เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอน เพราะการพักรักษาตัวของนายทักษิณไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล แต่ไปในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และมีนายวิษณุ เครืองาม ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ ทำหน้าที่ส่งไป และเป็นไปตามขั้นตอนไม่น่าหนักใจอะไร
“นายวิษณุ ฐานะมือกฎหมายคงจะพิจารณารายละเอียดเป็นอย่างดี การตรวจสอบตามที่มีผู้ร้องเรียนนั้นเป็นไปตามกระบวนการการพิสูจน์ของกระบวนการยุติธรรม เรื่องนี้สบายใจได้ ไม่มีเขย่าขวัญรัฐบาล เพราะนายทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ” นายวิสุทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่านายทักษิณ รักษาตัวที่ชั้น14 ในช่วงสมัยรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “พอเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แล้วต้องเอาออกหรือ ซึ่งการรักษาตัวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามความเห็นของแพทย์ที่รักษา ดังนั้นเรื่องนี้ไม่น่าหนักใจอะไร ให้เป็นไปตามขั้นตอน”
ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมว.คลัง กล่าวถึงการชี้แจงต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาในประเด็นร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ ว่า ตนในฐานะที่กำกับดูแลเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นได้มีการชี้แจงในหลักคิดและแนวทางซึ่งได้ชี้แจงไปอย่างชัดเจนว่าเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์เป็นส่วนประกอบรวมกันของธุรกิจหลายประเภทบวกกับคาสิโนเพื่อจะสร้างเม็ดเงินลงทุน กระตุ้นการท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้รายจ่ายต่อหัวในการท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตนได้ขอบคุณคณะกรรมการกฤษฎีกาชุดพิเศษที่ตั้งขึ้นมา รับทราบและนำข้อคิดเห็นของกระทรวงการคลังไปดำเนินการ
“กลไกเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์จะช่วยให้เศรษฐกิจเติบโต ทำให้คนไทยได้รับประโยชน์พบกับภาวะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นได้ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลตั้งแต่นโยบาย และถูกบรรจุในแนวนโยบายแห่งรัฐข้อที่ 7 ซึ่งได้แถลงต่อรัฐสภาไปแล้ว จึงเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่ต้องเดินหน้า และคิดว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาจะเข้าใจตรงกัน ส่วนผลของนิด้าโพล ที่ประชาชนไม่เห็นด้วยกับการทำเอ็นเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์นั้น ต้องแยกประเด็นให้ชัด”
ส่วนคณะกรรมการกฤษฎีกา มีข้อกังวลในจุดใดบ้างนั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มีอยู่2 เรื่อง คือเนื้อหา แต่ก็ได้ชี้แจงว่าเป็นโมเดลทางธุรกิจที่ต่างประเทศใช้กัน และจำเป็นต้องมีหลายธุรกิจประกอบกันบวกกับกาสิโน จะอยู่แยกกันไม่ได้ เพราะธุรกิจบางประเภท เช่นสนามกีฬาอินดอร์สเตเดียมซึ่งรัฐบาลมีความอยากได้เพื่อที่จะดึงนักท่องเที่ยวและคอนเสิร์ตระดับโลกแต่ยังไม่มีสถานที่ ดังนั้นการลงทุน เอกชนลงทุนจะลงทุนเดี่ยว คงไม่คุ้มทุน ดังนั้นจึงต้องเกิดเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ โดยเกิดการพัฒนาธุรกิจที่รัฐบาลมองว่าจะสามารถผลักดันเติบโตสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศได้ หากมีอินดอร์สเตเดียมบรรจุคนได้ถึง 40,000 คนในอนาคตก็จะดึงคอนเสิร์ตระดับโลกเข้ามาก็จะเกิดเม็ดเงินและเมื่อดึงสวนสนุกระดับโลกหรือเป็นดิสนีย์เป็นยูนิเวอร์แซล สุดท้ายก็เกิดเม็ดเงินลงไปยังประชาชนและสังคมจึงเป็นแนวคิดที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนประเด็นที่สองคือ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดตั้งสำนักงาน เพื่อที่จะกำกับเงินลงทุนทีมีมูลค่านับแสนล้านบาท
ส่วนสัดส่วนของคาสิโนจะอยู่ที่ร้อยละ 10 ใช่หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มีการหารือกันในเรื่องนี้ว่าจะเขียนลงในกฎหมายหรือไม่ซึ่งขอเรียนว่าตั้งแต่ร่างกฎหมายในกระทรวงการคลังก็ได้มีการสอบถามเรื่องนี้ ปกติไม่เกินร้อยละ 3 – 5 อยู่แล้ว และอยู่ในสัดส่วนที่น้อย ส่วนจะเขียนไหมก็เขียนยากเพราะถือว่าไม่ได้มีจุดเดียว ซึ่งดังนั้นให้อำนาจในการคิดซึ่งจะต้องอยู่ในความเหมาะสม ต้องให้อำนาจคณะรัฐมนตรีหรือคนที่กำกับดูแลในอนาคตมีโอกาสคิดวิเคราะห์และตัดสินใจได้ในระดับหนึ่งจะไปเขียนกฎหมายเพื่อบังคับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็จะไม่ทำ ดังนั้นจึงไม่ได้เขียนในบัญชีแนบท้ายว่ากิจกรรมมีอะไรได้ แต่เขียนแค่ 10 อย่างส่วนข้อที่ 10 คืออื่นๆเนื่องจากในฐานะคนเขียนกฎหมายก็ไม่มีจินตนาการที่จะกำหนดหรือคิดได้ทุกอย่างดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้คนที่จะต้องนำมาเสนอตัวได้คิดว่าจะเสนออะไรให้กับประเทศไทย จึงต้องเปิดโอกาสให้คนที่จะมา สามารถคิดให้นำเสนอ ซึ่งสุดท้ายกระบวนการทั้งหมดต้องโปร่งใสและมีการเปิดทีโออาร์ใครจะเสนอด้านใดและมีมูลค่าเท่าไหร่
ส่วนการดำเนินงานของคณะกรรมการกฤษฎีกา 51 วันจะทันกับการ การประชุมสภาในสมัยนี้หรือไม่นายจุลพันธ์ กล่าวว่าจากการประชุมซึ่งก็ถามกฤษฎีกาว่ากรอบเวลาจะใช้เวลาไม่นาน อย่างที่คิดเพราะถือว่าค่อนข้างเร็วและเชื่อว่าทุกคนจะส่งข้อคิดเห็นเข้ามาเพื่อที่จะเกลี่ยหรือเขย่าให้มันเกิดความรอบคอบ รัดกุม เพื่อประโยชน์สูงสุดซึ่งสภาก็สามารถร่างหรือแก้ไขได้อย่างเต็มที่ เพื่อการเดินหน้าของนโยบายรัฐ
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย ขึ้นรถไฟฟ้าและรถเมล์ฟรี โดยย้อนถามสื่อว่า ถูกวิจารณ์อย่างไร เพราะประชาชนที่ใช้ประโยชน์ เขาก็แฮปปี้กันหมด ตนจึงไม่ทราบว่าใครมีประเด็นอะไร
ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า เขาวิจารณ์ว่าเป็นการใช้งบประมาณที่แก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด นายสุริยะ กล่าวว่า ตัวเลขชัดเจน สำนักนโยบายแผนขนส่งจราจร มีกล้องวงจรปิดของ กทม. สามารถไปเช็คได้ว่ามีการใช้รถยนต์ลดลงหรือไม่ ซึ่งมีตัวเลขชัดเจนว่าใช้ลดลง จึงแสดงให้เห็นว่าการใช้มาตรการดังกล่าว ทำให้ประชาชนใช้รถยนต์ส่วนตัวน้อยลง
เมื่อถามอีกว่า กลุ่มคนที่ขึ้นรถไฟฟ้าเป็นคนกลุ่มใหม่ด้วยใช่หรือไม่ ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มเดิมที่เคยขึ้นรถไฟฟ้าอยู่แล้ว นายสุริยะ กล่าวว่า ดูจากปริมาณรถยนต์ที่ใช้ มีตัวเลขปรากฏว่าลดลงชัดเจน ดังนั้น จึงน่าจะมีความชัดเจนแล้วว่าเป็นกลุ่มใหม่ที่ลดการใช้รถยนต์ลงเมื่อมีมาตรการใช้รถไฟฟ้าฟรี
เมื่อถามว่า มีการวิจารณ์ว่าการใช้งบ 140 ล้าน เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ควรแก้ที่ต้นเหตุอย่างเช่นการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง นายสุริยะ กล่าวว่า เราต้องทำมาตรการควบคู่กันไป ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย และมาตรการอื่น ซึ่งเมื่อเกิดเหตุเฉพาะหน้าเช่นนี้ มาตรการที่เราทำอยู่ก็จะสามารถช่วยลดฝุ่น pm 2.5 ได้อย่างรวดเร็ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า กล่าวต่อว่า จะขยายมาตรการรถไฟฟ้าฟรีต่อไปอีกหรือ นายสุริยะ กล่าวว่า เบื้องต้นกำหนดไว้ 7 วัน ตอนนี้ขอเวลาให้ครบ 7 วันก่อน เพื่อประเมินตัวเลข แต่ยืนยันว่า นโยบายนี้ทำให้ผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวลดลง
ส่วนที่ สหกรณ์การเกษตรแม่แจ่มจำกัด อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร และผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ภาคเหนือ ได้เดินทางมาพบปะกับชาวบ้าน และเกษตรกร เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5
นายอนุทิน ระบุตอนหนึ่งว่า การเดินทางมาครั้งนี้ ตนไม่ได้มาคนเดียว แต่ได้นำทั้งผู้บริหารผู้ว่าราชการจังหวัดและข้าราชการในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงทหารฝ่ายความมั่นคงลงมาอยู่กับพี่น้องประชาชน เพื่อที่จะบอกว่าเรื่องของฝุ่นควันกลายเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลกำลังเร่งจัดการ
“ปัญหานี้มาจากฝีมือมนุษย์เป็นสำคัญ และเป็นสิ่งที่เราช่วยกันได้ ปัจจุบัน วิถีทางการเกษตรเปลี่ยนไปมีการปลูกพืชล้มลุกและใช้การเผาแทนการไถกลบเพื่อให้ปลูกได้เร็วขึ้น ปลูกได้มากขึ้น แต่ผลกระทบ จากพฤติกรรมเช่นนี้หนักหนาสาหัสมาก ทำลายสุขภาพทั้งคนในพื้นที่และคนนอกพื้นที่ การท่องเที่ยวแย่ เศรษฐกิจแย่ ทุกวันนี้ประเทศไทย ต้องประสบกับภัยพิบัติตลอดปี พอต้นปีก็เป็นเรื่องของฝุ่นควัน จากนั้นก็ภัยแล้ง ตามมาด้วยน้ำท่วม จบที่ภายหนาว และเริ่มปีใหม่ด้วยปัญหาฝุ่นควันอีกครั้ง เราจะยอมรับให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ มีการถมเงินมากมายเพื่อเข้าไปเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ แต่ตอนนี้ต้องคิดถึงเรื่องการป้องกันแล้ว ที่ทำได้เลย คือบังคับใช้กฎหมาย ตอนนี้ ตนเอาจริง ทั้งส่วนกลางและข้าราชการส่วนท้องถิ่น ท่านต่างก็มีกฎหมายอยู่ในมือ ถึงเวลาที่ท่านต้องใช้มันแล้ว พี่น้องประชาชนและเกษตรกรท่านต้องเข้าใจว่าตอนนี้เราต้องเอาจริงเอาจังเพราะเป็นปัญหาระดับประเทศ ไม่สามารถอะลุ่มอล่วยได้ เราต้องเข้าใจสถานการณ์ร่วมกัน และแก้ปัญหาไปด้วยกัน”