สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์  ร่วมกับสภาทนายความภาค 3 สภาทนายความจ.บุรีรัมย์ และ อบต.หายโศก   เข้าช่วยเหลือแรงงานที่ถูกหลอกไปทำงานออสเตรเลีย สูญกว่า 20 ล้าน ตั้งโต๊ะสอบข้อเท็จจริงรวบรวมหลักฐาน เตรียมยื่นขอเป็นโจทย์ร่วม  เหยื่อกังวล ผตห.ใช้อิทธิพลเส้นสายเคยเป็นอดีตนายก อบต. 3 สมัย ทำหลุดคดี  

(26 ม.ค.68) ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ร่วมกับนายวีระศักดิ์ บุญเพลิง กรรมการบริหารสภาทนายความภาค 3 นายวุฒิกาญจน์  กุลสุวรรณ ประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์  พร้อมคณะกรรมการสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ และทนายความอาสา ได้ลงพื้นที่พบผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อถูก น.ส.ออย  ที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สถานฑูตออสเตรเลีย  และครอบครัว หลอกจะพาไปทำงานประเทศออสเตรเลีย ก่อนจะปล่อยลอยแพที่สนามบินสุวรรณภูมิกวา 250 คน  ณ ที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลหายโศก อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ เพื่อรับเรื่องร้องเรียน และตั้งโต๊ะสอบข้อเท็จจริงและรวบรวมหลักฐาน เพื่อให้ความช่วยเหลือเรื่องคดีความ เนื่องจากผู้เสียหายสูญเงินรายละตั้งแต่ 60,000 บาท ถึง 120,000 บาท โดยมีผู้เสียหายจากหลายจังหวัดกว่า 250 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท  โดยเฉพาะใน อ.พุทไธสง  จ.บุรีรัมย์ มีผู้เสียหายกว่า 160 คน 

โดยวันนี้ มีผู้เสียหายกว่า 100 คน เดินทางมาพบนายกสภาทนายความ และคณะฯ เพื่อยื่นหนังสือให้สภาทนายความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย ซึ่งคณะกรรมการสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมทนายความอาสาก็ได้ตั้งโต๊ะสอบข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อจะนำไปใช้ประกอบการดำเนินคดีต่อไป  ซึ่งผู้เสียหายส่วนใหญ่กังวลว่า ทางตำรวจจะไม่เอาผิดกับผู้มีส่วนร่วมกับ น.ส.ออย จึงได้นำหลักฐานทั้งภาพและคลิปเสียงที่ยืนยันว่าตา ยาย พ่อแม่ มีส่วนร่วมในการหลอกลวงแรงงาน มามอบเป็นหลักฐานให้กับสภาทนายความด้วย  

นอกจากนี้ สภาทนายความ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลหายโศก อ.พุทไธสง จ.บุรีรัมย์ ได้จัดอบรมเพื่อเผยแพร่ความรู้ทางด้านกฎหมายแก่ประชาชน เพื่อไม่ให้ทำผิดกฎหมาย และป้องกันไม่ให้ถูกหลอกได้โดยง่าย ก็ได้รับความสนใจจากผู้เสียหายและพี่น้องประชาชน มาร่วมฟังการบรรยายให้ความรู้ทางด้านกฎหมายจำนวนมาก

ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ  กล่าวว่า  หลังทราบเรื่องว่ามีชาวบ้านถูกหลอกไปทำงานต่างประเทศตกเป็นผู้เสียหายมากกว่า 100 คน  ทางสภาทนายความ ก็ได้นำทนายอาสา และคณะกรรมการสภาทนายความ จ.บุรีรัมย์ ลงพื้นที่มาให้บริการรับเรื่อง สอบข้อเท็จจริง และรวบรวมหลักฐานถึงที่  จะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากสภาทนายความถึงส่วนกลาง โดยสภาทนายความจะช่วยเหลือเรื่องคดีจนคดีจะสิ้นสุดทั้งทางอาญา และทางแพ่ง และนอกจากจะมาช่วยเหลือแรงงานที่ถูกหลอกแล้ว ยังถือโอกาสมาให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชนในพื้นที่ด้วย 

ด้าน นายวุฒิกาญจน์ กุลสุวรรณ ประธานสภาทนายความจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า คดีนี้มีชาวบ้านในพื้นที่ อ.พุทไธสง เสียหายจำนวนมาก  ทางสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็ได้ร่วมกับสภาทนายความภาค 3 และสภาทนายความ จ.บุรีรัมย์ ลงพื้นที่มารวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานต่างๆ จากผู้เสียหาย หากเวลาที่อัยการฟ้องคดีนี้ ทางสภาทนายความก็จะยื่นขอเข้าเป็นโจทย์ร่วม เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการชดใช้เยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยเป็นการช่วยเหลือฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

ขณะที่ นายวิษณุ เนาไธสงค์ หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่ง จ.สมุทรปราการ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน ทำงานที่นั้นถึง 13 ปี ได้เงินเดือนประมาณ 20,000 บาท กระทั่ง น.ส.ออย ตัวการหลัก ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกันรู้จักตั้งแต่เด็ก  มาชักชวนจะพาไปทำงานออสเตรเลีย โดยบอกว่า จะได้ค่าแรงสูงถึงเดือนละ 90,000 บาท รวมโอทีอีกก็เดือนละ 1 แสนกว่าบาท ด้วยความที่ตนเองประสบอุบัติเหตุจากการทำงาน ถูกตัดแขนข้างขวากลายเป็นคนพิการ จึงคิดว่าถ้าไปทำงานต่างประเทศแล้วได้เงินเดือนละแสนตามที่ น.ส.ออย กล่าวอ้างจริง  เมื่อครบ 5 ปี ตนก็จะมีเงินก้อนกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านกับครอบครัว จึงตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำมา 13 ปี เมื่อเดือน พ.ย.67 กลับมาเดินเรื่องเพื่อจะไปทำงานออสเตรเลียตามที่ น.ส.ออย หลอกล่อชักชวน ซึ่งคนที่ทำงานก็ยังทักท้วงว่าให้ตัดสินใจดีๆ ก่อน ตนก็คิดว่าเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันเขาคงไม่หลอก อีกทั้งเขาบอกว่าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตออสเตรเลีย รวมถึงตา ยาย พ่อแม่ของ น.ส.ออย ก็รับประกันว่าไม่หลอกแน่นอน  ถ้าหลอกจะขายบ้าน ขายนาแล้วเอาเงินมาคืนให้หมด จึงทำให้เชื่อใจ แต่สุดท้ายกลับโดนหลอกไม่ได้ไปทำงานตามที่เขากล่าวอ้าง    

ยอมรับว่าเครียดมากเพราะต้องกลายเป็นคนตกงาน และพิการแบบนี้ไม่รู้ที่ไหนจะรับเข้าทำงาน  เดือดร้อนมากไม่รู้จะหาเงินไหนไปจ้างทนายสู้คดี และในครอบครัวตนเองถูกหลอกทั้งหมด 6 คน สูญเงินไป 320,000 บาท ก็อยากให้สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ช่วยเหลือเรื่องคดีด้วย เพราะผู้เสียหายส่วนใหญ่ไปกู้ยืมเงินมาจ่ายเป็นค่าดำเนินการ อีกทั้งยังกังวลว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะผู้ต้องหาบางคนเป็นถึงอดีตนายก อบต. และอดีตรองปลัด อบต.ด้วย หวั่นมีการใช้เส้นสายทำให้หลุดคดี.