สหรัฐฯ จัด V-22 Osprey รุ่นใหม่ รับ"ภูมิธรรม" นั่งไปลงเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson กลางอ่าวไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม พร้อมด้วยพล.อ.ไตรศักดิ์ อินทรรัศมี เลขานุการรมว.กลาโหม พลเอก ณัฐพลนาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ผู้แทนเหล่าทัพ และ นาย Robert F Gordec เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ร่วมเดินทางเยี่ยมชม เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งจอดอยู่ บริเวณอ่าวไทย จังหวัดชลบุรี
โดยกองทัพสหรัฐฯส่ง V-22 Osprey เครื่องบินลำเลียงรุ่นใหม่ มารับนายภูมิธรรม และคณะ เพื่อไป ลงเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinson
สำหรับ V-22 Osprey สหรัฐฯในภารกิจปฏิบัติการพิเศษของหน่วยบัญชาการรบพิเศษสหรัฐฯ U.S. Special Operations Command (USSOCOM) โดยมีการดัดแปลงพิเศษ แตกต่างจากรุ่นปกติ เช่น ติดตั้งจุดติดตั้งถังเชื้อเพลิงสำรองใต้ปีก เรดาร์จับภูมิประเทศเพื่อการบินลัดเลาะในระดับต่ำ กล้องจับภาพในเวลากลางคืน ระบบป้องกันตัวจากอาวุธปล่อยนำวิถี ชุดปล่อยเป้าลวงความร้อน อันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติการของหน่วยรบพิเศษ
การเยี่ยมชมครั้งนี้มี พลเรือตรี Michael S. Wosje ผู้บัญชาการกองเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีที่ 1 และนาวาเอก Matthew C. Thomas ผู้บัญชาการเรือ USS Carl Vinson ต้อนรับ
โดย USS Carl Vinson จะเข้าจอดที่ท่าเรือแหลมฉบัง ระหว่างวันที่ 27-31 ม.ค.68 ตามภารกิจเยือนเมืองท่า (Port Visit) เพื่อให้ลูกเรือได้พักผ่อน โดยไม่มีการสับเปลี่ยนกำลัง
สำหรับเรือ USS Carl Vinson เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินชั้น Nimitz มีระวางขับน้ำ 97,000 ตัน รองรับลูกเรือได้มากถึง 6,000 นาย มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์กองทัพเรือสหรัฐฯ โดยเคยปฏิบัติภารกิจในสงครามสำคัญ เช่น สงครามอ่าวเปอร์เซีย สงครามอิรัก และสงครามอัฟกานิสถาน รวมถึงภารกิจด้านมนุษยธรรม เช่น การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในเฮติ ได้รับการขนานนามว่าเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินขวัญใจชาวอเมริกัน และมีส่วนสำคัญในการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐฯ
ที่นี้คณะของ รมว. กลาโหม จะได้เยี่ยมชมพื้นที่สำคัญบนเรือ เช่น ดาดฟ้าบิน สะพานเดินเรือ โรงเก็บอากาศยาน แผนกการแพทย์ และห้องรับประทานอาหาร รวมถึงชมการปฏิบัติการของอากาศยานบนเรือ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและเทคโนโลยีทางการทหารขั้นสูง การเยี่ยมชมในครั้งนี้แสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยและสหรัฐฯ พร้อมทั้งเปิดโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านยุทธศาสตร์และเสริมสร้างศักยภาพทางการทหาร ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความมั่นคงและความร่วมมือในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น