เผยแพร่รายงานออกมาแล้ว แบบปลุกเร้ากระตุ้นเตือนไปยังเวทีการประชุมเศรษฐกิจโลก “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม” ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตช์เซอร์แลนด์ ให้ตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำของผู้คนพลเมืองโลก ที่ยังมีช่องว่างถ่างกว้างอยู่เป็นอย่างมาก ซึ่งมิอาจละเลยไปได้
สำหรับ รายงานว่าด้วยความเหลื่อมล้ำทั่วโลก ที่จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปีของ “ออกซ์แฟม” มูลนิธิการกุศล หรือองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร ซึ่งมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ
โดยรายงานฉบับล่าสุดก็เป็นประเมินความเหลื่อมล้ำทั่วโลกที่บังเกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2024 (พ.ศ. 2567) ที่เพิ่งผ่านพ้นมา
รายงานได้ระบุว่า ช่วงขวบปีที่ผ่านมานั้น ต้องถือเป็นปีที่คนรวยระดับมหาเศรษฐี หรือบิลเลียนแนร์ (Billionaire) ซึ่งครอบครองทรัพย์สินมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป ล้วนมีรายได้ทะยานพุ่งสูงขึ้นกันอย่างถ้วนหน้า
ส่งผลให้มหาเศรษฐีพันล้านเหล่านั้น มีทรัพย์สินรวมกันแล้วมากถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยกัน เพิ่มจากปีก่อนหน้า คือ 2023 (พ.ศ. 2566) ที่รวมแล้วมีจำนวน 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2023 จำนวน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และถือเป็นอัตราตัวเลขทรัพย์สินที่เพิ่มมากขึ้นเป็นอันดับสอง นับตั้งแต่ทางออกซ์แฟมจัดทำรายงานตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ตัวเลขของมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมาของเหล่ามหาเศรษฐีเหล่านั้น ก็ต้องถือว่า เป็นการเติบโตเร็วขึ้นถึง 3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปีก่อนหน้า
พร้อมกันนี้ ทางออกซ์แฟม ก็คาดการณ์ด้วยว่า หากขยายตัวเติบโตเร็วขึ้นในอัตราเร่งเช่นนี้ ก็อาจทำให้โลกได้เห็นมหาเศรษฐีถือครองทรัพย์สินมีมูลค่ามากระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในคริสต์ทศวรรษหน้า หรือภายใน 10 ปีนับจากนี้
และมิใช่ว่า จะได้เห็นเพียงรายเดียว แต่อาจจะเห็นถึง 5 คนเป็นอย่างน้อยก็เป็นได้ สำหรับ ผู้ที่ได้ชื่อมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สิน หรือรวยระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนในปี 2024 ที่ผ่านมา ทางออกซ์แฟม ก็ระบุว่า มีมหาเศรษฐีรวยระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือบิลเลียนแนร์ หน้าใหม่ถึง 204 คนด้วยกัน คิดเป็นอัตราเฉลี่ย ก็เกือบๆ 4 คนต่อสัปดาห์ สำหรับ จำนวนมหาเศรษฐีที่รวยระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เกิดใหม่ในปีที่แล้ว ซึ่ง 1 ปีมี 52 สัปดาห์ ส่งผลให้ในปีที่แล้ว โลกเรามีมหาเศรษฐีรวยระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น 2,769 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2023 (พ.ศ. 2566) ที่มีจำนวน 2,565 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนคนอันน้อยนิด เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรโลกที่มีมากถึง 8,025 ล้านคน สำหรับตัวเลขที่นับอย่างเป็นทางการถึงช่วงสิ้นสุดในปี 2023 (พ.ศ. 2566)
ทั้งนี้ สถานการณ์ข้างต้น ก็อาจเรียกได้ว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” ก็ได้ เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนระหว่างคนรวยระดับมหาเศรษฐีกับประชากรโลกส่วนใหญ่
โดยมหาเศรษฐีรวยระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวนกว่า 200 คน ในช่วงรอบปี 2024 ที่ผ่านมา จนมีทรัพย์สินรวมกันแล้วมากถึง 15 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากกว่าปีก่อนหน้าถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้น คิดเป็นอัตราเฉลี่ยของรายได้ที่มหาเศรษฐีระดับล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำรวมกันก็เฉลี่ยราวๆ 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน หรือเฉลี่ยแล้วมหาเศรษฐีเหล่านี้ มีรายได้ต่อคนวันละ 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่วนกลุ่มมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ดึงดูดเม็ดเงินเข้ากระเป๋าของพวกมากที่สุด ก็คือ กลุ่มประเทศที่อยู่ซีกเหนือของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส
ทั้งนี้ แม้มหาเศรษฐีกลุ่มข้างต้น ซึ่งจำนวนเพียงร้อยละ 1 แต่ก็ดึงดูดทรัพย์สินเม็ดเงินจากซีกโลกใต้ผ่านระบบการเงินในปี 2023 ไปเป็นจำนวนมาก คิดเป็นอัตราเฉลี่ยก็ราวๆ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง โดย 1 วัน มี 24 ชั่วโมง ก็เอา 24 คูณเข้าไป จะได้ผลลัพธ์ตัวเลขรายได้ตลอดทั้งวัน
ตามการเปิดเผยของออกซ์แฟม ยังระบุด้วยว่า กลุ่มประเทศซีกเหนือของโลกควบคุมทรัพย์สินโลกมากถึงร้อยละ 69
ออกซ์แฟม ยังอ้างอิงถึงรายงานของประเทศต่างๆ ระบุว่า ประมาณร้อยละ 60 ของมหาเศรษฐีรวยระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีที่มาของทรัพย์สินจากแหล่งต่างๆ หลายแหล่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติที่ได้สืบทอดต่อๆ กันมา การมีทรัพย์สินได้เพราะอาศัยช่องทางจากพวกพ้อง ซึ่งเรียกแนวทางแบบนี้ว่า ลัทธิพวกพ้อง นอกจากนี้ ยังมีการได้มาของทรัพย์สินผ่านกระบวนทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดจนใช้อำนาจบางอย่างเพื่อให้ธุรกิจผูกขาด จนทำให้มีรายได้มีทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ก้าวขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่ง
รายงานของออกซ์แฟม ยังแสดงวิตกกังวลต่อการที่มหาเศรษฐีหลายคน ตบเท้าเข้าสู่แวดวงการเมืองในประเทศต่างๆ ซึ่งมหาเศรษฐีมีความได้เปรียบ ก็อาจทำให้ได้เข้าสู่คณะรัฐบาล และจะส่งผลต่อการกำหนดนโยบายการบริหารปกครองในเวลาต่อมาก็เป็นได้
พร้อมยกตัวอย่างกรณีของนายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกชาวอเมริกัน ที่ดำเนินกิจการหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า “เทสลา” ธุรกิจด้านอวกาศอย่างสเปซเอ็กซ์ และธุรกิจแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย “เอ็กซ์ (X)” หรือ “ทวิตเตอร์” เดิม ซึ่งปรากฏว่า เขาประสบความสำเร็จในทางการเมืองของสหรัฐฯ อีกด้วย จากการที่ฝ่ายที่เขาสนับสนุน คือ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ขณะที่ตัวนายมัสก์ ก็จะได้อยู่ในคณะรัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้มีส่วนต่อการกำหนดนโยบายบริหารประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ไม่มากก็น้อย
โดยทางผู้บริหารรายหนึ่งของออกซ์แฟม เรียกระบอบข้างต้นที่เหล่ามหาเศรษฐีตบเท้าเข้าสู่ถนนสายการเมืองในลักษณะนี้ว่า เป็นระบอบคณาธิปไตยใหม่ โดยกลุ่มมหาเศรษฐีกลุ่มเล็กๆ ที่ทรงพลังเป็นอย่างสูง และพร้อมที่จะบดขยี้ความเท่าเทียมของประชาชนส่วนใหญ่ให้ถ่างกว้างออกไป