หมายเหตุ : “พายุ เนื่องจำนงค์” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2568 โดยพูดถึงการทำหน้าที่ “ผู้นำรัฐบาล” ของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ในท่ามกลางความคาดหวังและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ต่างๆที่เกิดขึ้น จนเกิดเป็นดราม่าทางการเมืองตามมา
- ในช่วง 5 เดือนการทำงานของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่ผ่านมา เป็นอย่างไรบ้าง
ผ่านมาจนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 5 เดือน ที่นายกฯได้ทำหน้าที่มา แต่คนรู้สึกว่าอาจจะไม่นาน แต่ก็ถือว่าเกือบ ครึ่งปีแล้ว ที่ผ่านมาถือว่าท่านนายกฯสามารถปรับตัวได้ค่อนข้างไว จะด้วยอุบัติเหตุทางการเมืองที่ท่านต้องเข้ามาอย่างฉุกละหุก หลายคนอาจจำได้ในช่วงที่เกิดเรื่องอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน นายกฯแพทองธารตอนนั้นอยู่ในระหว่างเดินทางไปประเทศจีน ก่อนไปท่านเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่พอกลับมาก็ต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรี
จากที่ท่านให้สัมภาษณ์ไว้ ก็พบว่ามีหลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ตรงนั้นจะบอกว่าไม่พร้อมก็คงไม่ใช่ เพียงแต่จะบอกว่าในตอนนั้นท่านก็ไม่ได้คิดว่าจะมาเป็นนายกฯในทันที เพราะพรรคเพื่อไทยเองก็มั่นใจว่าคุณเศรษฐา จะอยู่ครบเทอม แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้ คุณแพทองธาร ก็ได้เสียสละเข้ามาเป็นผู้นำ คนต่อไป ไม่ใช่แต่นายกฯของพรรคเพื่อไทย แต่ยังเป็นนายกฯคนต่อไปของประเทศ เป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายสำหรับใครก็ตาม
แม้การเมืองในยุคคุณเศรษฐา จะมีการก้าวข้ามความขัดแย้ง ของหลายขั้วการเมืองที่ต่อสู้กันมาตลอด 17ปี จนมาร่วมเป็นรัฐบาลด้วยกันได้ก็ยังมีความขัดแย้งอยู่ ทั้งทางฝั่งรัฐบาลและกับฝ่ายค้าน ดังนั้นทางกลุ่มที่มีจุดยืนต่างจากแนวคิดของพรรคร่วมรัฐบาล ก็จะมีการโจมตีกันบ้างในหลายเรื่อง ต้องยอมรับว่า ทำให้เป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนเดินหน้า
เพราะในหลายๆครั้งทางพรรคเพื่อไทย เองมีความจำเป็นที่จะต้องมาชี้แจงในเรื่องที่ความจริงแล้วไม่ใช่เป็นประเด็นร้อนเลย แต่กลับกลายเป็นว่าถูกทำให้เข้าใจผิด ทำให้สังคม มองนโยบายบางเรื่องของพรรคเพื่อไทย หรือนายกฯแพทองธาร เองไปในทางที่ผิด ซึ่งเรื่องนี้มีความจำเป็นที่เราต้องใช้เวลา มาพูดคุยกัน เพื่อทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง
เพราะถ้าเราปล่อย หรือไม่พูดถึง ก็จะกลายเป็นเหมือนสุภาษิตที่ว่า เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่อาจจะนำไปสู่อะไรหลายๆอย่างได้ เหมือนการเมืองในอดีต
-ด้วยความเป็นนายกฯอายุน้อยที่สุด ด้วยหรือไม่ จึงทำให้กลายเป็นจุดที่อาจกลายเป็นเป้าโจมตี
ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยอายุ และความที่เป็นผู้นำหญิงคนที่สองของประเทศไทย เราก็ทราบกันดีว่าในยุคของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีกระบวนการในการต่อต้านคล้ายๆกัน หรือมีข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความพร้อม แต่สำหรับนายกฯแพทองธาร ด้วยเรื่องอายุที่เป็นหนึ่งในจุดที่นำมาใช้เป็นข้อครหา โดยที่ไม่ได้มองถึงตอนที่ท่านทำงานอยู่ในภาคเอกชน ประสบความสำเร็จแค่ไหนบ้าง
ส่วนในกรณีของคุณเศรษฐา เองซึ่งถือเป็นซีอีโอที่ประสบความสำเร็จ แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้ชาย และมีอายุมากกว่า จึงไม่มีเสียงครหาเท่ากับที่นายกฯแพทองธาร ได้รับมาตลอด 4-5 เดือนที่ผ่านมา จุดนี้ผมก็มองว่ามันเป็นปัญหาของผิวน้ำของคนที่อาจไม่พูดถึง แต่ก็รู้ว่ามีอยู่ มีอคติบางอย่าง แต่นายกฯก็ไม่ได้มองว่าเป็นอุปสรรคที่จะทำงานไม่ได้ แต่กลับมองว่าเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้ท่านทำงานเพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อประชาชน ให้สังคมเห็นว่าตัวท่านเองสามารถเป็นผู้นำของประเทศได้
-หมายความว่าประเด็นหลักๆที่ถูกโจมตีนั้นไม่ใช่เรื่องของนโยบาย แต่เป็นเรื่องดราม่า
ส่วนใหญ่เป็นเรื่องดราม่าที่มักจะเกิดขึ้น เพราะเรื่องของนโยบาย ทุกคนก็ทราบดีว่าพรรคมีทีมคลังสมองที่คิด ขึ้นมา ไม่ได้มีเพียงนายกฯแพทองธาร เท่านั้นแต่เป็นคณะนโยบายของพรรคที่มีประสบการณ์ ช่วยกันพัฒนานโยบายดีๆ ที่พรรคเพื่อไทยได้ชูแล้วนำมาหาเสียง และนำมาปฏิบัติ
- อคติที่พูดถึงอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับตัวนายกฯแพทองธาร เท่านั้น อาจจะรวมไปถึงคนทำงาน หรือตัวคุณพายุ เอง
กรณีของผมเองถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ถ้าเทียบกับกรณีที่นายกฯแพทองธาร ต้องเจอทุกวัน ทั้งจากโซเชียลเอง จากสื่อเอง เราทำงานเพื่อขับเคลื่อนงานให้กับประชาชน และนี่เป็นครั้งแรกในรอบ10 ปีที่พรรคเพื่อไทยได้มาเป็นรัฐบาล ก็มีหลายอย่างที่ติดค้างใจเอาไว้ ด้วยสถานภาพทางการเมืองที่ผ่านมา ณ วันนี้เมื่อเราเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนรัฐบาลแล้ว เราจะทำอย่างไร เพื่อให้เป็นไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน รวมถึงสิ่งต่างๆที่เคยทำเอาไว้สมัยรัฐบาลไทยรักไทย จะเห็นได้ว่าหลายๆนโยบาย จะมีดีเอ็นเอของความเป็นรัฐบาลไทยรักไทยมาบ้าง
แต่ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่มีหัวครีเอทีฟที่จะคิดอะไร ใหม่ๆไม่ได้ ตามที่เคยมีคนบางกลุ่มโจมตี แต่ผมมองว่า เป็นเรื่องไหนที่ดี แล้วเรายังเชื่อมั่นและคิดว่านำมาประยุกต์ในโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนไป เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี ไม่ใช่ว่าเราปัดฝุ่นเอานโยบายเก่าขึ้นมา ขายให้ประชาชนใหม่ อย่างนั้นคงไม่ให้ความชอบธรรมกับทางพรรค และทีมที่คิดนโยบายต่างๆเหล่านี้ขึ้นมา
- แต่ต้องยอมรับว่าในโลกโซเชียลเอง แม้แต่คุณพายุ เองก็เหมือนตกเป็นเป้าด้วยเหมือนกัน เหมือนเป็นหนังหน้าไฟให้กับนายกฯแพทองธาร ฉะนั้นเราจะแก้ปัญหาอย่างไรในเรื่องดราม่าต่างๆ
ในด้านนโยบาย พรรคมีผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ จะพอรู้ว่ามีเสียงอีกฝั่งหนึ่งจะโต้หรือดิสเครดิตอย่างไร แต่หลายๆครั้งก็ต้องยอมรับว่าเราเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายหรือเรื่องจิปาถะ หากคุยกันตามเนื้อผ้าว่าด้วยเรื่องนโยบาย เราสามารถตอบได้ แต่หลายครั้ง กลายเป็นว่าเราต้องเสียเวลา ดึงคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยมาอยู่จุดศูนย์กลาง มารีเซทกันใหม่ เนื่องจากมีการให้ข้อมูลที่จริงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ เท็จ 90 เปอร์เซ็นต์ เราก็ต้องมาเซทซีโร่ มาทำความเข้าใจกันใหม่
ส่วนหนึ่งก็เป็นหน้าที่ของทางรัฐบาลอยู่แล้ว แต่หลายครั้งก็เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง เหมือนมีเจตนาที่ต้องการสร้าง ความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีให้กับทางรัฐบาลหรือตัวนายกฯเอง ด้วยการหยิบเรื่องเล็กน้อยมาโจมตี ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่จริง
ตัวอย่าง กรณีที่ชัดเจนคือตอนที่คุณแพทองธาร ยังเป็นหัวหน้าพรรคอย่างเดียว ท่านก็เดินทางไปที่รัสเซีย มีการถ่ายคลิปที่ท่านไปซื้อของเล่นให้กับลูกๆ แต่ปรากฏว่ามีคนเอาคลิปนั้น ตอนที่ท่านแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตอนที่เชียงรายเกิดน้ำท่วมใหญ่ แล้วบอกว่า เสร็จจากแถลงนโยบายที่สภาฯแต่นายกฯไม่รีบไปดูน้ำท่วมที่เชียงราย แต่ไปซื้อของเล่นให้ลูก
ทั้งที่เราดูคลิปก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่ใช่ร้านขายของเล่นในเมืองไทย เพราะคุณแพทองธาร ใส่ชุดกันหนาว ภาษาที่อยู่บนของเล่นก็เป็นภาษารัสเซีย แต่การที่เอามาตัดต่อในติ๊กต็อกแล้วโจมตีว่า มาเป็นนายกฯไม่เท่าไหร่ก็ไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาของประชาชนแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นการปลุกระดมความรู้สึกคนไปทางลบ เราก็ต้องออกมาแก้ มาชี้แจงว่าเป็นเฟคนิวส์ สิ่งเหล่านี้ผมมองว่ามันไม่ถูกต้อง ซึ่งพรรคและรัฐบาลเองก็อยากให้คนที่เข้าใจผิดได้เข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง รู้ข้อเท็จจริง แต่ไม่ใช่หน้าที่เราที่จะไปชี้นำ เรามีหน้าที่นำเสนอข้อเท็จจริง
-และดูเหมือนว่าตัวคุณพายุ เองตอนนี้ก็กำลังตกเป็นเป้าของฝั่งตรงข้ามรัฐบาลไปด้วย
เราคิดว่าหน้าที่ของเราคือการอธิบาย ให้เข้าใจ ซึ่งจะมีฐานผู้ฟัง ผู้รับชม ที่เมื่อถึงเวลาก็อาจจะไม่เห็นด้วยกับเรา เพราะเข้าใจผิดหรืออาจจะมาจากอคติล้วนๆ ไม่ว่าเราจะอธิบายอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เชื่อ เมื่อเป็นแบบนั้นเราก็ต้องเข้าใจ และเผื่อใจเอาไว้ส่วนหนึ่ง จะมาท้อกับสิ่งเหล่านี้คงไม่ได้ เพราะหน้าที่ของเราส่วนหนึ่งคือการสื่อสารเพื่อให้เขารับฟังข้อมูลที่ถูกต้อง
ทุกครั้งที่ผ่านมา เราเองก็ได้ประเมินการสื่อสารของเราเช่นกันว่าวิธีการสื่อสารของเรา ถูกต้องแล้วหรือไม่ ก็ต้องฟังเสียงสะท้อนด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลโพลเอง หรือเสียงสะท้อนในโซเชียล ต่างๆ หรือแม้กระทั่งในสื่อเองว่าสิ่งที่เราสื่อสารออกไป เสียงที่ได้รับกลับมาดีขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ดีขึ้น เป็นเพราะอะไร
เรื่องนี้ถือเป็นจุดแข็งของนายกฯแพทองธารที่เข้าใจโซเชียลมีเดีย และเป็นผู้ที่รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์โดยที่ไม่ติดใจหรือมีอารมณ์ร่วมกับตรงนั้น จากนั้นจะมาหารือกับทีมงานว่าเราจะแก้ตรงนั้นอย่างไร หรือจะปรับอย่างไร
- กรณีของคุณพายุ ถือว่าเป็นอีกคนหนึ่งที่ข้ามขั้วมาทำงานกับพรรคเพื่อไทย มองว่าตอนนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง มีระดับความผ่อนคลาย หรือจะยิ่งอยู่ในระดับที่เพิ่มมากขึ้น
ผมมองว่าดีขึ้นเยอะ แต่ส่วนหนึ่ง จุดเริ่มต้นมาจากการที่ผู้นำของแต่ละฝ่ายได้มาทำความเข้าใจ เพราะสุดท้ายแล้ว ก็จบอยู่ที่ ลีดเดอร์ชิฟ เพราะหากลีดเดอร์ชีฟยังมองว่ามีความขัดแย้งกันอยู่ ยังมีอคติ ไม่ยอมหันหน้าเข้าหากันมา ก็จะเป็นความขัดแย้งต่อไปเรื่อยๆ แต่อย่างที่เราได้เห็น ว่าในรัฐบาลแพทองธาร 1 มีรัฐมนตรีที่เคยอยู่กับขั้วตรงข้ามกันมาก่อน มีการต่อสู้กันมา 17 ปี แต่ตอนนี้ก็สามารถทำงานร่วมกันได้แล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นนิมิตหมายที่ดี
จากที่เราสู้กันมาตลอดทศวรรษ อยู่ดีๆจะให้ปิดสวิตช์แล้วกลายเป็นเพื่อนรักข้ามคืนเลยคงเป็นไปไม่ได้ แต่ทุกคนมีความเป็นมืออาชีพมากพอ และต่างคนต่างมีอุดมการณ์ ผมมองว่าพรรคร่วมรัฐบาลหลายๆพรรคก็ถูกฐานเสียงของเขาโจมตีว่าทอดทิ้งอุดมการณ์ของตัวเอง ซึ่งผมมองว่าไม่จริงหรอก แต่เขามีความเป็นมืออาชีพพอ ที่จะรับฟังแนวคิดของพรรคเพื่อไทย ที่จะบริหารไปร่วมกัน ตรงไหนที่ไม่เห็นด้วยก็มีการหารือกัน แต่ไม่จำเป็นต้องออกมาให้สัมภาษณ์หรือตะเบ็งเสียงใส่กันว่าไม่เห็นด้วยกับพรรคเพื่อไทย ปิดประตูคุยกันแล้วหาจุดสมดุลที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมตรงกัน
เพราะทุกฝ่ายต่างเห็นว่าต้องทำให้ชีวิตของประชาชนดีขึ้น ในแนวนโยบายของพรรคตนเอง แต่ถ้าได้ศึกษา ทุกนโยบายก็จะเห็นว่ามีจุดทับซ้อน ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะนำมาใช้เป็นสารตั้งต้นในการขับเคลื่อนเดินหน้าร่วมกันไปได้ในฐานะรัฐบาลเดียวกันไปได้ สิ่งนี้ถือว่าสำคัญ ผมมองว่าตั้งแต่นายกฯ ไปจนถึงรองนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยเองก็เล็งเห็นตรงกันและยอมมองข้ามเรื่องในอดีต หลายๆเรื่อง เพื่อให้เราได้ใช้ชีวิตไปข้างหน้าได้
ทุกคนในรัฐบาลนี้ต่างทราบกันดีว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของพวกเขาคือการถูกเลือกเข้ามา เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันแล้ว เราก็ต้องหาวิธีที่จะเดินหน้าไปด้วยกันให้ได้ เรื่องเล็กเรื่องน้อย ถ้ายังเป็นประเด็นอยู่ ก็คงไม่สามารถมาเป็นรัฐบาลร่วมกันได้
- ในฐานะที่ทำงานใกล้ชิด นายกฯแพทองธาร มีมุมไหนที่อยากสะท้อนให้ประชาชนได้เห็นบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการรับมือกับดราม่าต่างๆ
ผมคิดว่าท่านนายกฯเองก็รับมือกับสิ่งเหล่านี้มาตลอด ไม่ใช่เพิ่งมารับตำแหน่งนายกฯ ตั้งแต่เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และทั้งชีวิตก็อยู่กับตระกูลการเมืองมา ดังนั้นการรับมือกับเสียงในสังคม ท่านมีประสบการณ์อยู่แล้ว แต่จุดแข็งของท่านจากที่ผมได้สัมผัสมาพบว่าท่านค่อนข้างเปิดรับปัญหา รับความคิดเห็นของคนอื่น มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นๆ และคนทั่วไป ส่วนหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่าสำหรับตัวผมเองที่เพิ่งย้ายเข้ามาที่พรรคเพื่อไทย พบว่าการให้ความร่วมมือต่างๆ การรับฟังแนวคิด โดยไม่มีอคติว่าผมย้ายมาจากขั้วตรงข้าม ถือเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งของตัวท่านเอง
อีกส่วนหนึ่งคือการที่คนส่วนใหญ่ในสังคม มักจะมองว่าฟาดหรืออะไรก็ตาม แต่ผมมองว่าอาจจะไมเป็นธรรมต่อตัวนายกฯ เพราะต้องเข้าใจว่า โดยบริบทแล้วท่านเป็นนักสู้ แต่ไม่ใช่นักรบ แต่เป็นนักสู้ที่มีจุดยืนของตัวเองและสู้ในจุดที่ต้องการทำให้ทุกอย่างสำเร็จ มีความมุ่งมั่น ซึ่งคนจะบริบทกับการเป็นนักรบ
บางทีสังคมก็ถูกทำให้เกิดการเข้าใจผิด หรือถูกชักจูงให้เข้าใจว่านายกฯออกไปในแนวเกเรซึ่งไม่จริงเลย นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นได้จากทีมงานรอบๆตัวของท่านนายกฯเองมีทั้งคนรุ่นใหม่ แสดงให้เห็นถึงการเปิดรับ ความคิดใหม่ๆ และคนเก่าแก่ที่อยู่มานาน ก็แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้มีรอยัลตี้ให้กับนายกฯและครอบครัวชินวัตร ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นด้วยว่าตัวนายกฯหรือครอบครัวชินวัตร ก็ให้ความสำคัญต่อคนที่เคยทำงานด้วยกันมาเช่นกัน