คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2025 ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันนี้นับว่าเป็นวันแรกของก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวในสมัยที่สอง ปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับทั้งข่าวดีและข่าวด้านลบไปเกือบจะพร้อมๆกัน!!!

โดย “สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น” ได้ออกมารายงานว่า การเริ่มต้นของประธานาธิบดีทรัมป์ในวาระที่สองถือเป็นการเริ่มต้นในด้านบวก แถมประธานาธิบดีทรัมป์ยังออกมาเริ่มประเดิมการกล่าวคำปราศรัยในการเข้าสู่ทำเนียบขาวด้วยการยกประเด็นที่นำมาซึ่งการโจษจันอย่างกว้างขวาง อาทิเช่น ยกประเด็นต้องการที่จะผนวกควบรวม แคนาดา  คลองปานามา กรีนแลนด์ และอ่าวเม็กซิโก ให้มาเป็นของสหรัฐฯซึ่งการที่ออกมาพูดเยี่ยงนี้นับว่าทรัมป์ต้องการหยั่งเสียงในการที่จะเพิ่มขยายอาณาจักรของสหรัฐฯ

ส่วนปัญหาเกี่ยวกับคดีอาญา 34 กระทงของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่เคยพาดเป็นหัวข่าวใหญ่ประจำวัน ปรากฏว่าตอนนี้เงียบหายไปชั่วคราว  อีกทั้งคณะรัฐมนตรีที่เขาเสนอชื่อให้เข้าไปรับตำแหน่งนั้น บางคนอาจจะได้ผ่าน และอาจจะมีบางคนที่ติดขัดไม่เป็นไปดั่งที่ใจทรัมป์หวังคราวนี้ลองหันไปฟังความคิดเห็นของชาวอเมริกันกันบ้างว่า พวกเขาคิดเช่นไรกับการเข้าสู่ทำเนียบขาวของประธานาธิบดีอีกครั้งคราหนึ่ง

โดย“สถานีโทรทัศน์ช่องซีบีเอส”ได้ทำการหยั่งเสียงร่วมกับ “สำนักหยั่งเสียงYouGov” และออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2025 ว่า คนอเมริกันร้อยคนเทคะแนนนิยมให้ประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 60% ต่อ 40%

ส่วนผลการหยั่งเสียงของ “หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์” ร่วมกับ “สำนักโพล Ipsos” ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2025 ว่า ขณะนี้สังคมของคนอเมริกันมีการแตกคอแบ่งแยกกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู!!!

โดยหยิบยกเอาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับวีซ่าพิเศษชั่วคราวที่เรียกกันว่า “วีซ่า H-1B” ที่วีซ่าชนิดนี้อนุญาตให้ชาวต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางให้สามารถทำงานในสหรัฐฯได้ โดยในอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เคยไม่เห็นด้วยกับวีซ่าชนิดนี้ที่ส่วนใหญ่มักจะเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านไฮเทคจากประเทศอินเดียที่มีมากถึง 78% แต่เมื่อ “อภิมหาเศรษฐีอีลอน มัสก์” เพื่อนที่ขณะนี้ผันตัวกลายเป็นอัศวินคู่ใจออกมาประกาศสนับสนุนผลักดันเกี่ยวกับวีซ่า H-1B อย่างสุดตัว ปรากฏว่าประธานาธิบดีทรัมป์กลับลำออกมาเห็นด้วยอย่างหน้าตาเฉย

และที่ผ่านๆมาถึงแม้ว่า “สตีพ แบนนอน” ผู้ที่มีมันสมองปราดเปรื่องชั้นเซียนขั้นเทพ ซึ่งเขาผู้นี้รับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์และเป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้แก่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะออกมากล่าวโจมตีอยู่เสมอๆในทำนองว่า “อีลอน มัสก์ เป็นปีศาจอันแสนร้ายกาจที่มาจากแอฟริกาใต้ แถมยังมีภูมิหลังเป็นพวกที่ชอบเหยียดสีผิว” แต่ท้ายที่สุดแล้วประธานาธิบดีทรัมป์ไม่ใส่ใจ กลับไปเข้าข้างอิลอน มัสก์ ซะอย่างนั้น!!!

และเมื่อวันพุธที่ 15 มกราคม 2025  “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ก็ได้ออกมาปราศรัยกล่าวคำอำลาต่อชาวอเมริกันแบบไม่แจ่มใสขมขื่นใจว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์ห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มผู้มั่งคั่งที่กำลังจ้องจะละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวอเมริกัน รวมไปถึงจ้องจะทำลายระบอบประชาธิปไตยอันเป็นแม่แบบอันดีของสหรัฐฯ”

เท่ากับว่าการประเดิมเริ่มต้นของประธานาธิบดีทรัมป์เต็มไปด้วยบรรยากาศที่มีการแบ่งแยก จนอาจจะทำให้การทำงานของเขากลายเป็น “เป็ดง่อย” ไม่สามารถเดินไปในทิศทางใดได้เลย แต่ที่แน่ๆชาวอเมริกันจะมีความคิดเห็นอย่างไรนั้น คงจะต้องใช้เวลาสองปีแรกก่อนการเลือกตั้งกลางสมัยเป็นเครื่องตัดสินว่า คนอเมริกันรู้สึกอย่างไร? และขณะนี้เสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนฯอยู่ที่ 219 ต่อ 215 นับว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีเสียงส่วนใหญ่ไม่มาก ทำนองเดียวกันกับคะแนนเสียงในวุฒิสภาก็มีอยู่ที่ 53 ต่อ 47 เสียง

จากการหยั่งเสียงของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ที่ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2025 ว่า คนส่วนใหญ่ 41% เชื่อว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่สร้างความแตกต่างสำหรับพวกเขา ส่วนอีกร้อยละ 31% เชื่อกันว่า นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะส่งผลเสียต่อพวกเขา และร้อยละ 27% เชื่อว่า นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะช่วยเหลือพวกเขา

ทั้งนี้ด้านประเด็นเศรษฐกิจที่ถือเป็นหัวใจหลักที่ทำให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่หันไปเทใจเลือกประธานาธิบดีทรัมป์อย่างถล่มทะลายจนสามารถก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวได้อีกครั้งในวาระที่สอง สืบเนื่องมาจากชาวอเมริกันส่วนใหญ่มีความรู้สึกในเชิงลบ และรู้สึกหดหู่ใจต่อการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจอันแสนล่าช้าของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยชาวอเมริกัน 45% รู้สึกว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเข้าไปช่วยทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯดีขึ้น ในขณะที่ 39% รู้สึกว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ  ส่วนอีก 13% รู้สึกว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่สร้างความแตกต่างใดๆทั้งสิ้น

ส่วนเรื่องภาษีขาเข้านั้น ชาวอเมริกัน 46% ต่างออกมาสนับสนุนให้มีการเพิ่มภาษีขาเข้าสินค้าที่มาจากประเทศจีนและจากเม็กซิโก โดยมีชาวอเมริกันถึง 50% ที่ไม่เห็นด้วยต่อการที่จะขึ้นภาษีขาเข้า

ซึ่งความเห็นเช่นนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับผลสำรวจของสำนักหยั่งเสียง 3 สำนัก นั่นก็คือ NPR/PBS News และ Marist ที่ต่างออกมาให้ความคิดเห็นในทำนองเดียวกันว่า การขึ้นภาษีศุลกากรจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ประเด็นเกี่ยวกับการชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าสหรัฐฯอย่างผิดกฎหมาย คนอเมริกันส่วนใหญ่ถึง 80% คิดว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะปฏิบัติการเนรเทศให้พวกเขาเหล่านั้นออกไปจากสหรัฐฯ

สำหรับประเด็นเผือกร้อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาป่าวประกาศขู่ว่า จะคิดบัญชีกับศัตรูทางการเมืองของเขานั้นปรากฏว่า มีชาวอเมริกันถึง 73% ไม่เห็นด้วยต่อการที่รัฐบาลของสหรัฐฯจะเข้าไปมีส่วนสืบสวนดำเนินคดีกับศัตรูฝ่ายตรงข้ามทางด้านการเมืองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

โดยประเด็นนี้ดูเหมือนจะมุ่งตรงไปที่นักการเมืองหลายๆคนทั้งในค่ายพรรครีพับและนักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตที่พวกเขาแสดงความไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการจะอภัยโทษให้แก่ผู้ที่ถูกพิพากษาตัดสินว่า มีความผิดโทษฐานก่อการจลาจลบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ขณะที่นักการเมืองของสภาคองเกรส กำลังพิจารณารับรองให้โจ ไบเดน เข้าไปดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46

ส่วนด้านการต่างประเทศดูเหมือนว่า ทันทีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว เขาจะต้องเผชิญกับสองครามยักษ์ใหญ่น่าหนักใจ นั่นก็คือ “สงครามระหว่างรัสเซีย กับ ยูเครน” และ “สงครามระหว่างอิสราเอล กับ กลุ่มฮามาส”

ที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์เคยเอ่ยปากให้คำสัญญาว่า จะเจรจาให้มีการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนให้จงได้ เพื่อประหยัดงบประมาณที่สหรัฐฯให้การสนับสนุนยูเครน

ส่วนกรณีสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสนั้น ที่ปรึกษาฝ่ายต่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ได้เริ่มทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการเจรจาให้หยุดยิงกันชั่วคราวระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส

ส่วนเรื่องต่อมาในการเข้าทำงานของประธานาธิบดีทรัมป์ก็อาจจะเป็นเรื่องทางการทูตว่า จะต้องทำอย่างไรในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอิสราเอลและซาอุดิอาระเบีย ที่จะเป็นโอกาสทองทางด้านการค้าให้แก่สหรัฐฯไปในตัวอีกด้วย

สำหรับความสัมพันธ์ที่มีกับประเทศจีนนั้น ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาประธานาธิบดีโจ ไบเดนพยายามอดทนและอดกลั้นกับจีนเรื่อยมา  ส่วนการที่ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมากล่าวว่า เขามีความตั้งใจที่จะเดินทางไปเยือนประเทศจีน เพื่อเจรจาทางด้านการค้าก็คงจะเป็นเรื่องในอนาคตภาคหน้า

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเราคงจะต้องจับตาคอยสอดส่องดูว่า การก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาวในวาระที่สองของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” สามารถจะดำเนินการต่างๆได้ตามที่เคยเอ่ยปากให้คำสัญญาเอาไว้อาทิ เขาเคยสัญญาว่าทันทีที่เขาเข้ารับตำแหน่งเขาจะเนรเทศชาวต่างประเทศที่อยู่อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายให้ออกไปจากสหรัฐฯ เคยสัญญาว่าจะยุติสงครามยูเครนในทันที และเคยสัญญาว่าจะสร้างเศรษฐกิจให้สหรัฐฯกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้เราคงพอจะทราบได้อย่างคร่าวๆรางๆในอีก 100 วันข้างหน้านี้ว่า เขาจะทำได้ตามที่เคยให้สัญญาเอาไว้หรือไม่ละครับ.