ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
สหภาพโซเวียตเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ก่อนการล่มสลายในปีค.ศ.1991 นั่นคือการโฆษณาความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ โดยที่ในสภาพความเป็นจริงไส้ในกลวง เศรษฐกิจอ่อนแอ ระบบราชการที่ผุกร่อนและแข็งตัว และเป็นช่องทางให้เกิดการคอร์รัปชัน จนมาถึงยุคกอบาชอฟ ที่ประกาศนโยบายกราสนอสต์และเปเรสตรอยกา ซึ่งหมายถึงการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ระบบราชการและบุคลากรไม่มีความพร้อม ทุกอย่างก็พังครืนลงมา
มาสู่ยุคปัจจุบัน ทรัมป์ได้จัดแคมเปญการโฆษณาชวนเชื่อครั้งใหญ่ในสหรัฐฯ นั่นคือ Make America Great Again (ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง)
มันจึงเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ของทรัมป์ ของอเมริกาและของโลก ท่ามกลางพลวัตที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร (Information Technology)และโอกาสสูงของการเปลี่ยนแปลงไปสู่การที่โลกจะมีหลายขั้ว
ลองมาพิจารณาถึงการโฆษณาชวนเชื่อในอเมริกาที่อาจกลายเป็นการจลาจลได้ในอนาคต และลองมาพิจารณาดูว่าอเมริกันจะรู้สึกอย่างไร ถ้ามีการควบคุมอินเทอร์เน็ต
ด้วยความจริงที่ว่าตะวันตก พึ่งพาสังคมข้อมูล โดยเฉพาะชนชั้นนำ (ELITE) เพื่อรักษาการควบคุมประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นอกเหนือจากการใช้สื่อกระแสหลัก
ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ในการเบี่ยงเบนความสนใจจากสภาพความเป็นจริงทั้งด้านการเมืองภายใน การเมืองระหว่างประเทศ และสภาพเศรษฐกิจ
ทั้งที่ในสภาพความเป็นจริงทางเศรษฐกิจนั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงกับสภาพเศรษฐกิจก่อนเกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปีค.ศ.1929 นั่นคือ มูลค่าที่เกินจริงของภาคการเงิน (Financial Sector) มีมูลค่า (Market cap) เกิน 200% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของชาติ (GDP) ซึ่งเมื่อเทียบกับก่อนปี 1929 นั้นมันมีมูลภาคการเงินเกินกว่า 100% ของ GDP และ P/E Ration มีค่า 33 แต่ปัจจุบัน 37
ยิ่งไปกว่านั้นนโยบายการลดภาษีคนรวยและการเตรียมขึ้นภาษีศุลกากร จะมีผลทำให้ช่องว่างระหว่างคนจนคนรวยเพิ่มขึ้นไปอีก โดยด้านคนรวยก็จะนำเงินที่เพิ่มมาลงทุนในตลาดหุ้นทำให้ฟองสบู่เพิ่ม หรือถ้าไม่อย่างนั้นก็จะนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น ที่รัฐบาลออกขายเพื่อแก้ปัญหาหนี้สาธารณะล้นพ้นเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จนเกินเพดานที่กำหนด
ด้านคนยากจน หรือชนชั้นกลาง ที่โดยปกติต้องใช้เงินส่วนใหญ่ไปใช้ในการบริโภคกลับต้องเผชิญกับเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นจาก 2 ปัจจัย หลักคือการเพิ่มภาษีนำเข้า และการขับไล่ผู้อพยพต่างชาติออกนอกประเทศ ซึ่งจะทำให้คนงานขาดแคลน และค่าแรงงานจะสูงขึ้น
ในขณะที่ตัวเลขที่ประกาศเป็นทางการนั้นอัตราการจ้างงาน ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ อัตราการเติบโตก็มีอัตราประมาณ 2.5 แต่เงินเฟ้ออยู่ในระดับ 2.9 ซึ่งเป้าหมายของ Fed ให้อยู่ที่ 2.0
อนึ่งในช่วงปลายของไบเดน แม้รัฐบาลจะประกาศว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 3.1% และอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าแรงงานจะอยู่ที่ประมาณ 5% แต่ในความรู้สึกของผู้บริโภคเขาพบว่ารายได้ของเขา ซื้อสินค้าเพื่อการบริโภคได้น้อยลง
อดีตรัฐมนตรีคลังของสหรัฐฯ ลอร์เรนซ์ ซัมเมอร์ ได้ให้ข้อมูลว่าเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์นี้ไม่น่าจะต่ำกว่า 8% หากมีการคำนวณอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา
ดังนั้นหากรัฐบาลต้องการสร้างกระแสความนิยมให้เพิ่มมากขึ้นตามความคาดหวังของประชาชนก็จำเป็นต้องมีการโฆษณาชวนเชื่อด้วยวิธีการต่างๆไม่ว่าจะเสนอข้อมูลบางส่วน หรือแม้แต่การบิดเบือนข้อมูล ซึ่งจะใช้เพียงสื่อกระแสหลักคงไม่พอเพียง จึงต้องพิจารณาที่จะหาความร่วมมือจากแพลตฟอร์มเครือข่ายข้อมูลข่าวสารสังคม (Social Network) เช่น เฟซบุ๊ก กูเกิล เอ็กซ์ หรือ ยูทูบ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในรัฐบาลของ Elon Musk
อย่างไรก็ตามแม้สื่อกระแสหลักอย่าง CNN ,CBS The Economist, NewYork Times ,Financial Times, WSJ และ Washington Post จะโปรพรรคเดโมแครต แต่การทำสงครามสื่อครั้งนี้มันเป็นทางอยู่รอดของอเมริกาท่ามกลางกระแสของการเข้าสู่โลกหลายขั้วที่จะมาแทนการนำของสหรัฐฯ สื่อเหล่านั้นก็พร้อมที่จะร่วมมือกับทรัมป์ ประกอบกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่โหมประโคมมาตลอดในระบอบการเมืองสหรัฐฯ ก็เสื่อมโทรมแม้แต่เสรีภาพในการพูด (Freedom of Speech) ที่มีการแก้ไขในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯครั้งที่ 1 ก็ดูจะได้รับการเพิกเฉยจากสื่อกระแสหลัก และแพลตฟอร์มใหญ่ที่กล่าวมาแล้ว กรณีตัวอย่างคือการที่มีผู้สื่อข่าวMr.Max Blumenthalได้ทำการประท้วงการแถลงข่าวที่บิดเบือนของนายแอนโธนี บลิงเกน รมว.ต่างประเทศของไบเดน ที่จัดแถลงข่าวเป็นครั้งสุดท้าย โดยผู้สื่อข่าวได้ตั้งคำถามถึงความถูกต้องชอบธรรมในการที่สหรัฐฯสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซานั้นเป็นความถูกต้องหรือไม่ และย้อนแย้งกับคำตัดสินของศาลโลกหรือไม่ เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ลากตัวออกไปจากห้องประชุมและสื่อต่างๆก็เสนอข่าวแต่พอเป็นพิธี ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องใหญ่ของอุดมการณ์ตามหลักประชาธิปไตย และหลักการตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ
จึงไม่น่าแปลกใจที่สื่อสารออนไลน์ของ Rossiya Segodnay จะถูกแบน แม้ว่ารูปแบบจะด้อยกว่าสื่อตะวันตก แต่เนื้อหาความจริงจะมีอยู่อย่างชัดเจน
อนึ่งหากพิจารณาในพฤติกรรมของผู้บริโภคข่าว จะเห็นได้ว่าความนิยมในการรับรู้ข่าวสารเป็นไปอย่างผิวเผิน แต่ไม่เจาะลึกบนความเป็นจริงหรือการวิเคราะห์ เช่น ความนิยมเสพข่าวใน Tik Tok ที่ได้รับความนิยมสูงมากขึ้น โดยผู้คนไม่มีเวลาคิดแต่นิยมรับรู้ข้อมูลอย่างผิวเผิน
เฮนรี คิสซิงเจอร์ เรียกความรู้เชิงลึกซึ้งว่ามันกลายเป็นของฟุ่มเฟือยไปเสียแล้วสำหรับคนยุคใหม่ ข้อเท็จจริงถูกปรับเปลี่ยนไปตามอุดมการณ์จอมปลอมที่ถูกอุปโลกน์ขึ้น จึงเกิดการสร้างของปลอมขึ้นมามากมาย
การที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นส่วนหนึ่งก็มีผลมาจากการโฆษณาชวนเชื่อ การสร้างภาพลักษณ์ การสร้างความหวังต่างๆ บนความล้มเหลวงของการบริหารงานที่ผิดพลาดของไบเดน แต่เมื่อไรที่ความจริงเริ่มปรากฏและเมื่อมันเกิดผลกระทบต่อภาวะความเป็นอยู่หรือกระเป๋าเงินของประชาชน เมื่อนั้นความเท็จเหล่านั้นก็จะกลับกลายเป็นบูมเมอแรงมาสู่ชนชั้นปกครอง
ที่พอยกเป็นประเด็นได้ในขณะนี้คือ ทรัมป์และงานโฆษณาชวนเชื่อไม่ได้กระตุ้นเตือนสังคมอย่างชัดเจนเลย เมื่อเพื่อนๆเศรษฐีของทรัมป์ อย่างวอเรน บัฟเฟต บิลล์ เกตส์ เจฟ เบโซส์ มาร์ค แซคเกอร์เบิร์ก หรือแม้แต่ทิม คุก จากแอบเปิล พากันเทขายหุ้นและเก็บเงินไว้ในหลักทรัพย์หรือพันธมิตรระยะสั้น ในขณะที่ทรัมป์อ้างว่าการลดภาษีคนรวยนั้นเพื่อกระตุ้นให้เขาลงทุนจะได้มีการจ้างงานมากขึ้น
อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคนอเมริกันตื่นจากความฝัน เขาจะมีทางเลือกอื่นหรือไม่จากระบบการเมืองที่ผูกขาด