วันที่ 22 ม.ค.2568 เวลา 11.30 น. ที่ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 (ขอนแก่น)  พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย  ผบก.สส.ภ.4 พร้อมด้วย พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ รอง ผบก.สส.ภ.4 ,พ.ต.อ.สมภพ กองสมบัติ ผกก.สส1 บก.สส.ภ.4 พร้อมชุดสืบสวน บก.สส.ภ.4 ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุม นายจักรพล อายุ 25 ปี อยู่บ้าน ม.17 ต.บึงโขงหลง อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ, น.ส.รุ่งทิวา  อายุ 28 ปี อยู่บ้าน ม.2 ต.โนนสะอาด อ.บ้านม่วง จ.สกลนคร ,นายธันวา อายุ 20 ปี ที่อยู่  ม.6 ต.ไสไทย อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ 4 นายปิยะ  อายุ 20 ปี ที่อยู่ ม. 6 ต.ป่งไฮ อ.เซกา จ.บึงกาฬ พร้อมของกลางยาบ้า   564,000 เม็ด ,รถยนต์กระบะ อีซูซุ สีขาว หมายเลขทะเบียน ยท- 868 นคราชสีมา,รถยนต์กระบะ มิตซูบิชิ สีดำ หมายเลขทะเบียน กค- 4032 บึงกาฬ, รถจักยานยนต์ คาวาซากิ  สีเขียว หมายเลขทะเบียน 2กร- 5719 อุดรธานี,รถจักยานยนต์ ฮอนด้าเวฟ สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน,  โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง, สร้อยคอทองคำ จำนวน 2 เส้น,  สร้อยข้อมือทองคำ จำนวน 1 เส้น แหวนทองคำ จำนวน 1 วง  

 

ด้าน พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ กล่าวว่า ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน บก.สส.ภ.4 ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว เพื่อสืบสวนจับกุม ขบวนการค้ายาเสพติดตามแนวชายแดน เพื่อสกัดกั้นยาเสพติดจากแนวชายแดนเข้าไปสู่พื้นที่ตอนใน  พบว่ามีความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและทำการวิเคราะห์ข้อมูล จนทราบถึงเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ ว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดบริเวณเขตรอยต่อ อ.บ้านแพง จ.นครพนมและ อ.เซากา จ.บึงกาฬ จึงวางแผนและวางกำลังเจ้าหน้าที่ ตำรวจเข้าในพื้นที่ บ.ท่าสวรรค์ ต.ป่งไฮ อ.เซากา จ.บึงกาฬ

จนกระทั่งพบรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์สีเขียว  มีนายธันวา  เป็นคนขับนำหน้ารถยนต์กระบะยี่ห้อ อีซูซุ ดีแม็ก สีขาว หมายเลขทะเบียน ยท-868 นครราชสีมา ขับเข้ามาบริเวณป่าสวนยางทางทิศตะวันตกของบ้านท่าสวรรค์ มีชายหญิง 2 คนลงจากรถยนต์และชายที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ ก็มาช่วยกันแบกเอากระสอบที่ซุกซ่อนบริเวณดังกล่าว ใส่ไว้ในรถยนต์ สีขาว แล้วขับออกไป  ตำรวจจึงได้ติดตามและสกัดรถยนต์คันดังกล่าวเอาไว้ได้ พบนายจักรพล   เป็นคนขับ  มี น.ส. รุ่งทิวา นั่งข้างคนขับ และพบกระสอบปุ๋ยสีฟ้า จำนวน 2 กระสอบ และกระสอบปุ๋ยสีขาวจำนวน 1 กระสอบ และห่อยาเสพติดอีกจำนวนหนึ่ง วางอยู่บริเวณเบาะหลัง จากนั้นได้ติดตามจับกุมคนขับบิ๊กไบค์ ได้เพิ่มอีก 2 คน

โดย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดถุงปุ๋ยจำนวน 3 ถุงที่ยึดมาได้ พบว่าเป็นยาบ้าทั้งหมด 564,000 เม็ด  และผู้ต้องหาทั้ง4คนให้การรับ สารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายทุนชาวลาว ให้ขนยาเสพติดจากแนวชายแดนไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ตอนใน ในระยะทางไม่เกิน 100 กิโลเมตร จึงรับจ้างขน  ซึ่งหลังจากนั้นจะมีเครือข่ายยาเสพติดมารับช่วงขนต่อไปส่งในพื้นที่ภาคกลางและภาคอื่นๆ เป็นการส่งกันเป็นทอดๆ โดยมีนายจ้างชาวลาว เป็นคนสั่งการ  โดยจะได้ค่าจ้างคนละ 20,000 บาท และเคยทำมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ สิ่งหาคม 2567มาจนถึงปัจจุบัน เดือนละ2 ครั้ง จนกระทั่งมาถูกจับกุมในครั้งนี้

โดย ผบก.สส.ภ.4 กล่าวต่อว่า ผู้ต้องหาชุดดังกล่าว จะใช้รถยนต์ 2 คัน  สลับกันในการใช้ขนส่งยาบ้า และใช้รถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ 2 คัน ขับขี่ดูตามเส้นทางที่รถขนส่งยาบ้าจะผ่านไป หลังตรวจยึดของกลางและสอบสวนในเบื้องต้นแล้ว จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ป่งไฮ จ.บึงกาฬ ดำเนินคดีในข้อหาแจ้งข้อหาร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเกท 1 (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนโดยผิดกฎหมาย และได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับจักรพลและนายปิยะ ในข้อหาเป็นผู้ขับขี่เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน)โดยผิดกฏหมายอีกด้วย

ซึ่งในพื้นที่ภาค 4 นั้น มี 5 จังหวัดตามแนวชายแดนริมแม่น้ำโขง น่าเป็นห่วงมากที่สุด เพราะขบวนการค้ายาเสพติด ปรับเปลี่ยนการขนย้ายยาเสพติดจากทางภาคเหนือมาใช้พื้นที่ในภาคอีสาน โดยเฉพาะพื้นที่ภาค 4 เพื่อส่งยาเสพติดข้ามฟากมายังพื้นที่ตามแนวชายแดน จะเห็นจากการจับกุมกหลายครั้งแต่จับคนขนส่งข้ามแม่น้ำโขงได้น้อย เพราะมีการหลบเลี่ยงและหลบหนีไปได้ อีกทั้งมีกระแสมาจากทางภาคเหนือมีแนวโน้มว่า ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จะใช้โดรนบินในการขนส่งยาเสพติด ซึ่งทราบว่า เป็นโดรนที่ใช้ทางการเกษตรที่สามารถขนย้ายสิ่งของได้ครั้งละ 50 กิโลกรัม และจะนำมาขน ยาเสพติดส่งให้เครือข่าย ตามแนวชายแดนแม่น้ำโขง หรือมายังชายแดนไทยในพื้นที่ 5 จังหวัดทางภาคอีสานด้วย ขอยืนยันว่าสืบสวนภาค 4 กำลังจับตามองและตรวจเข้มในพื้นที่ชายแดน เพื่อสกัดและเฝ้าระวังไม่ให้ขบวนการค้ายาเสพติด ทำสำเร็จ เพราะตำรวจจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนสกัดกั้นอย่างเต็มที่