แม้ที่ผ่านมาจะมีข่าวที่สร้างผลกระทบในทางลบต่อประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกหลวง ทัวร์ศูนย์เหรียญ ปัญหาทุนจีนสีเทา โดยมีปัจจัยที่น่ากังวลของภาคการท่องเที่ยวไทย คือปัจจัยที่ไม่สามารถป้องกันหรือควบคุมได้ อาทิ ภัยพิบัติ สภาพอากาศ โรคระบาด ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จากความขัดแย้งระหว่างประเทศ แต่ทว่ายังมีหลากหลายข่าวดี ทั้งกรุงเทพมหานครได้รับการจัดอันดับเมืองที่ดีที่สุดเป็นอันดับที่ 2 จากเมืองที่ดีที่สุดของโลก 50 เมือง ปี 2025 จากผลการสำรวจนักท่องเที่ยวทั่วโลกกว่า 20,000 คน โดย Time Out สื่อระดับโลก ด้วยการยกย่องในด้านวัฒนธรรม อาหาร และความสุขของคนในเมือง
ขณะที่ข้อมูลจาก ซีไนน์ โฮเทลส์เวิร์คส์ บริษัทที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ ได้ระบุ ว่า ภูเก็ตได้พัฒนาจากจุดหมายปลายทางของรีสอร์ตริมชายหาดยอดนิยม กลายเป็นหนึ่งในตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีที่น่าดึงดูดที่สุดในโลก โดยมีแบรนด์สินค้าหรูระดับแนวหน้า ร้านอาหารระดับมิชลิน โรงเรียนนานาชาติ และการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพระดับนานาชาติ ที่กระตุ้นให้กลุ่มที่มีกำลังใช้จ่ายจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาภูเก็ต และประเทศไทย
หวังได้ตามเป้าเชิงนโยบายของรัฐบาล
ด้วยเหตุและผลต่างๆ นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้กล่าวว่า ปี 2568 ทางททท.ได้ตั้งเป้าหมายในการสร้างรายได้รวมของภาคการท่องเที่ยวไว้อยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 2 ล้านล้านบาท จากเป้าหมายในกรณีดีที่สุด (Best Case) จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยจำนวน 38 ล้านคน แต่จะตั้งใจไปแตะ 39-40 ล้านคนตามเป้าหมายเชิงนโยบายของรัฐบาล หรือเป็นการเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% จากฐาน 35.54 ล้านคนเมื่อปี 2567 ส่วนรายได้ของตลาดไทยเที่ยวไทย ตั้งเป้าหมายสร้างรายได้ไว้ที่ 1 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทาง 200-220 ล้านคน-ครั้ง
ทั้งนี้ นางสาวฐาปนีย์ ยังกล่าวต่อว่า ททท. วางเป้าหมายสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวในปีนี้ที่ 3 ล้านล้านบาท เป็นการตั้งเป้าการเติบโตถึง 17% เมื่อเทียบกับรายได้รวมการท่องเที่ยวของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 2.57 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.32% เทียบกับปี 2566 ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงกว่าเป้าหมายก่อนหน้านี้ที่ต้องเติบโต 7.5% เทียบกับฐานรายได้จริงของปี 2567
โดย 5 อันดับแรกของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยสูงสุดในปีนี้ อันดับ 1 ยังเป็นจีน คาดการณ์ไว้ที่จำนวน 8 ล้านคน อันดับ 2 มาเลเซีย 5.5 ล้านคน อันดับ 3 อินเดีย 2.5 ล้านคน ซึ่งมีปัจจัยบวกจากการเติบโตของปริมาณเที่ยวบิน อันดับ 4 เกาหลีใต้ 2 ล้านคน และอันดับ 5 รัสเซีย ประมาณ 1.92 ล้านคน
แต่ส่วนหนึ่งจะต้องต้องคอยบริหารความเสี่ยงในแต่ละตลาดเพื่อให้ได้จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ไปถึงเป้าหมายปีนี้ พร้อมกระจายความหลากหลายของตลาดมากขึ้น อย่างการขยายฐานนักท่องเที่ยวอาเซียน ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วน 30% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซียที่มีขนาดประชากรมากกว่า 277 ล้านคน ที่จะต้องดึงนักท่องเที่ยวอินโดนีเซียเข้าไทยให้ได้มากขึ้น รวมถึงตลาดมาเลเซียที่ต้องรุกต่อเนื่อง ทั้งการเดินทางด้วยเครื่องบินและทางบกข้ามด่านชายแดน รวมถึงทางทะเล เป็นต้น
ส่วนปัจจัยท้าทายที่ต้องคำถึงถึงตลอดเวลานั้น นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า คงปฏิเสธในเรื่องการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน ทั้ง ประเทศญี่ปุ่น ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2567 รวมกว่า 36.86 ล้านคนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากอานิสงส์ค่าเงินเยนอ่อน ซึ่งถ้าไม่มีปัจจัยเรื่องค่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ประเทศไทยยังคงมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่าญี่ปุ่นเป็นที่ 1 ในเอเชียอย่างแน่นอน
ร่วมบูรณาการแก้ไขปัญหาด้านลบ
อย่างไรก็ตาม นางสาวฐาปนีย์ ยังกล่าวถึงกรณีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงเนื่องจากกังวลในเรื่องของความปลอดภัยจากข่าวด้านลบที่เกิดขึ้น เบื้องต้นพบว่ามีเที่ยวบินเช่าเหมาลำยกเลิกเที่ยวบินเข้าไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจากเมืองรอง ที่ไม่เคยเดินทางมาเที่ยวไทย แต่กำลังจะเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยเป็นครั้งแรก ขณะที่คนจีนที่เคยเดินทางมาเที่ยวไทยส่วนใหญ่จะเข้าใจดีว่าการเดินทางท่องเที่ยวไทยไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้
ซึ่งในเรื่องนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างหารือบูรณาการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจท่องเที่ยว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะมีการจับกุมผู้กระทำผิดอย่างเข้มข้น รวมถึงทาง ททท.ได้มีการนำเสนอข้อมูลความเป็นจริง สื่อสารและทำความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยวจีน พร้อมยังได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ตั้ง War Room ร่วมประเมินสถานการณ์ และแก้ไขปัญหา ข่าวลือ ข่าวปลอม และภาพลักษณ์ด้านลบบนโลกออนไลน์ ร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน