ค่าฝุ่น PM 2.5 ทั่วประเทศพุ่งปรี๊ด! ระดับสีส้มและระดับสีแดง 53 จังหวัด กทม.-ปริมณฑล อ่วมสุด อยู่ในระดับสีแดงถึง 10 พื้นที่ ด้าน สมศักดิ์ลงนามคำสั่งถึง สธ.ทั่วประเทศ รับมือฝุ่น PM 2.5 หลังเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน พร้อมออก 5 มาตรการ "ให้ศูนย์ปฎิบัติฉุกเฉินด้านการแพทย์เตรียมพร้อม-เร่งประชาสัมพันธ์ภัยสุขภาพ-สสจ.ลงพื้นที่ดูกลุ่มเปราะบาง-เพิ่มห้องปลอดฝุ่น มุ้งสู้ฝุ่น-แจกหน้ากากอนามัย"
เมื่อวันที่ 21 ม.ค.68 ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้ติดตามคุณภาพอากาศทั่วประเทศเช้าวันนี้ (20 ม.ค.68) ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM 2.5 หลายพื้นที่ยังปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับสีส้มเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพในพื้นที่ 53 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย น่าน พะเยา ลำปาง เชียงใหม่ แพร่ ลำพูน อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม เพชรบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ชุมพร หนองคาย เลย อุดรธานี นครพนม หนองบัวลำภู มุกดาหาร ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ ชัยภูมิ ยโสธร อุบลราชธานี ศรีสะเกษ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ โดยพบอยู่ในระดับสีแดง 4 พื้นที่ บริเวณ ต.ธานี อ.เมือง จ.สุโขทัย // ต.หน้าพระลาน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี // ต.คลองกระแชง อ.เมือง จ.เพชรบุรี และ ต.อรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เนื่องจากมวลอากาศเย็นที่ยังคงปกคลุมพื้นที่ตอนเหนือของประเทศไทย ส่งผลให้อากาศนิ่ง จมตัว และเกิดสภาวะอากาศปิดใกล้ผิวพื้น ทำให้อัตราการระบายอากาศค่อนข้างต่ำ เช่นเดียวกับพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ค่าฝุ่นปรับตัวสูงขึ้นในระดับสีส้มเกือบทุกพื้นที่ ยกเว้น 10 พื้นที่ฝุ่นสูงในระดับสีแดงมีผลกระทบต่อสุขภาพ คือ ริมถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน // ริมถนนสุขาภิบาล5 เขตสายไหม // ริมถนนคลองทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา // ริมถนนเพชรเกษม เขตภาษีเจริญ // ริมถนนมาเจริญ เพชรเกษม 81 เขตหนองแขม // ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี // ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี // ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร // ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร และ ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยมีแนวโน้มจะสูงขึ้นช่วงวันที่ 22 27 มกราคมนี้
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับการกำกับและควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นอย่างเข้มงวด เพื่อบรรเทาความรุนแรงของฝุ่น PM 2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ผู้ป่วย เด็ก ผู้สูงอายุ และสตรีมีครรภ์ รวมทั้ง ขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพ ลดกิจกรรมกลางแจ้ง สวมใส่หน้ากากอนามัยและอุปกรณ์ป้องกันตัวเองเมื่อออกนอกบ้าน ปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข วางแผนการทำงานล่วงหน้า หรือ Work From Home หากพบเจอการเผาขอให้แจ้งภาครัฐเพื่อดับไฟและควบคุมจุดความร้อน และสามารถติดตามสถานการณ์ฝุ่นได้ผ่านเว็บไซต์ Air4Thai.pcd.go.th หรือ ทางแอปพลิเคชัน Air4Thai
ด้าน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า วันนี้ตนได้ประชุมร่วมกับ นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และแพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย เพื่อหารือแนวทางการดูแลประชาชนในเรื่องฝุ่น PM 2.5 จึงได้ลงนามบันทึกข้อความถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ หรือ ฝุ่นละออง PM 2.5 เนื่องจากตามที่คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ เรื่องการมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ประกอบกับนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมติดตามการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 โดยได้รับฟังแนวทางการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานว่า ได้ดำเนินการไปแล้วอย่างไรบ้าง พร้อมมอบหมายที่ประชุมช่วยอัพเดทข้อมูล ผ่านเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงผลการดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM เป็นปัญหาที่สำคัญมาก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จึงขอแจ้งมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ดังนี้
1.ให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณี หมอกควันและฝุ่นละอองขนาดเล็ก ประจำปี 2568 เตรียมความพร้อม และดำเนินการตามคำสั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ 2172/2567 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2567 อย่างเคร่งครัด 2.เร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุกและสร้างความรอบรู้เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ให้กับประชาชนได้รับทราบ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพ และการป้องกันตนเองจากภาวะฝุ่น PM 2.5 รวมถึงนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการสื่อสารให้เข้าถึงมากยิ่งขึ้น 3.ให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ จัดทีมปฏิบัติการทางการแพทย์ลงพื้นที่ดูแลกลุ่มเสียง กลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สถานดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ดูแลประชาชนในพื้นที่ 4.ขยายบริการด้านการแพทย์สาธารณสุขให้ครอบคลุม โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบสูง โดยเพิ่มบริการห้องปลอดฝุ่น และมุ้งสู้ฝุ่น รวมทั้งจัดตั้งคลินิก PM 2.5 การให้คำปรึกษาออนไลน์ในช่องทางต่างๆ และ 5.ให้สนับสนุนอุปกรณ์เวชภัณฑ์ต่างๆ เช่น หน้ากากอนามัย น้ำเกลือ กระบอกฉีดยาสำหรับล้างจมูก จึงขอให้แจ้งหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติต่อไปด้วย