ทรัมป์ กร้าวขอเป็น เผด็จการ 1 วัน ลงนามคำสั่งประธานาธิบดี ล้มเลิกสารพัดเรื่อง ชนิดแฟ้มเต็มโต๊ะ
เมื่อวันที่ 21 ม.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากประกอบพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ก้าวเข้าสู่ทำเนียบขาว ในฐานะประธานาธิบดีของประเทศ หลังเที่ยงวันของวันจันทร์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) เป็นจำนวนมากหลายฉบับ ซึ่งเป็นไปตามการหาเสียงในช่วงรณรงค์เลือกตั้งที่ระบุว่า เขาขอเป็นเผด็จการ 1 วัน เพื่อฟื้นฟูอเมริกาให้สมบูรณ์ หากได้รับชัยชนะเลือกตั้งได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัย
โดย คำสั่งฝ่ายบริหาร เป็นจำนวนมาก ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ลงนามในวันแรกหลังจากเข้าทำเนียบขาวเป็นสมัยที่ 2 ได้แก่
การยุติให้สัญชาติโดยกำเนิด โดยคำสั่งนี้จะควบคู่ไปกับคำสั่งการโยกย้ายถิ่นฐานเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งจะมีผลให้ยกเลิกการให้สัญชาติโดยอัตโนมัติแก่ผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่เกิดในแผ่นดินอเมริกา โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันลงนาม
การออกจากองค์การอนามัยโลก หรือดับเบิลยูเอชโอ โดยคำสั่งฝ่ายบริหาร ให้สหรัฐฯ ออกจากองค์การแห่งนี้ ทางประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่า เพราะองค์การอนามัยโลกฉ้อโกงสหรัฐฯ และไม่ว่าทุกคนที่ฉ้อโกงพวกเรา จะต้องไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังตำหนิองค์การอนามัยโลกว่า จัดการกับวิกฤติการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 หรือโควิด ทั้งในสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ได้ไม่ดี ดังนั้น สหรัฐฯ จึงต้องออกจากองค์กรแห่งนี้ โดยคำสั่งฯ จะมีผลในอีก 12 เดือนข้างหน้า และสหรัฐฯ จะหยุดบริจาคเงินให้แก่องค์การอนามัยโลก และงานขององค์การอนามัยโลกทั้งหมด ซึ่งจากเดิมที่ผ่านมา สหรัฐฯ ถือว่าเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดขององค์การอนามัยโลก
การเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก โดยการเปลี่ยนชื่อข้างต้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เปลี่ยนชื่อ อ่าวเม็กซิโก ให้เป็นชื่อใหม่ว่า อ่าวอเมริกา พร้อมกันนี้ ก็ยังได้เปลี่ยนชื่อ ภูเขาเดนาลี ในรัฐอะแลสกา เป็นชื่อใหม่ว่า ภูเขาแม็กคินลีย์ ตามชื่อของ อดีตประธานาธิบดีวิลเลียม แม็กคินลีย์ แห่งสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ยกย่องว่า เป็นผู้นำที่ทำให้ประเทศสหรัฐฯ ร่ำรวยจากการมีรายได้ทางภาษีศุลกากรและมีความสามารถ
การเพิกถอนเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยคำสั่งนี้ เป็นการเพิกถอนคำสั่งฝ่ายบริหารที่ลงนามโดยนายโจ ไบเดน ผู้กลายเป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปแล้ว ซึ่งได้ตั้งเป้าหมายว่า จะให้รถยนต์ใหม่ที่จำหน่ายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) จำนวนครึ่งหนึ่งต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้า
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ให้เหตุผลว่า เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปเดินหน้าต่อไป อันเป็นไปตามคำมั่นที่ตนให้ไว้ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง
การจัดประเภทพนักงานของรัฐบาลใหม่ โดยคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้ จะเป็นการจัดประเภทพนักงานของรัฐบาลกลาง จำนวนหลายพันคน ให้เป็นพนักงานการเมือง อันจะส่งผลให้พนักงานเหล่านี้ถูกไล่ออกได้ง่ายขึ้น
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านพลังงาน โดยคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการสนับสนุนพลังงานเชื้อเพลิงซากฟอสซิล ซึ่งรวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซในรัฐอะแลสกา นอกจากนี้ ยังจะมีการยกเลิกการหยุดส่งออกน้ำมันและก๊าซอีกด้วย อันจะส่งผลให้สหรัฐฯ สามารถส่งออกพลังงานไปทั่วโลก เพื่อสร้างรายได้ให้แก่สหรัฐฯ
การยอมรับเพศเพียง 2 เพศ โดยคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้ เพื่อลบแนวอุดมการณ์ทางเพศ ออกจากการสื่อสาร นโยบาย และแบบฟอร์มของรัฐบาลกลาง โดยจะมีเพียง 2 เพศเท่านั้น คือ ชาย และหญิง การเลื่อนการแบนติ๊กต็อก โดยผลจากคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับนี้ จะทำให้ชะลอการบังคับใช้ในการแบนติ๊กต็อกของรัฐบาลกลางออกไปการชั่วคราว เป็นเวลาอย่างน้อย 75 วัน การยกเลิกคำสั่งฝ่ายบริหาร 78 ฉบับของอดีตประธานาธิบดีไบเดน
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินพื้นที่ชายแดน โดยมีผลบังคับใช้ในพื้นที่ชายแดนทางใต้ที่ติดกับเม็กซิโก เพื่อมุ่งสกัดการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายเป็นประการสำคัญ การอภัยโทษแก่ผู้ก่อจลาจล 6 ม.ค.2021 (พ.ศ. 2564) ซึ่งจะมีผลต่อผู้ที่ถูกดำเนินคดีการก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาในวันดัรงกล่าว จำนวน 1,600 คน การถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ซึ่งข้อตกลงดังกล่าว เกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤติภาวะโลกร้อน ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุว่า เป็นเรื่องลวงโลก