อีกหนึ่งนโยบายของรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ตามปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มเด็กจบใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำงาน กับโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ทั่วประเทศเกือบ 40,000 ไร่ ซึ่งมี บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด (SRTA) บริษัทลูกของรฟท.เป็นผู้ดำเนินการ ดำเนินการเฟสแรกใช้เม็ดเงินลงทุน 4,600 ล้านบาท ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมา ไฟเขียวอนุมัติงบกลาง 166 ล้านบาท และมีการคิกออฟโครงการฯ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา

โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ได้แก่ กระทรวงคมนาคม ซึ่ง “รัฐมนตรีสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เล่าว่า ได้เปิดตัวโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ มีประชาชนสนใจโครงการฯเข้าชมห้องตัวอย่าง ทั้งแบบบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม โดยโครงการนำร่องมี 4 พื้นที่ คือ 1.พื้นที่บางซื่อ มีเนื้อที่กว่า 15 ไร่ ตั้งอยู่ซอยวิภาวดีฯ 11 ติดถนนกำแพงเพชร ห่างสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ 2.5 กิโลเมตร ห่างเซ็นทรัล ลาดพร้าว 500 เมตร ห่าง MRT พหลโยธิน 500 เมตร เป็นอาคารชุด จำนวน 1,232 ยูนิต ขนาด 30 ตารางเมตร ราคา 1.76 ล้านบาท ,ขนาด 40 ตารางเมตร ราคา 2.36 ล้านบาท ,ขนาด 45 ตารางเมตร ราคา 2.65 ล้านบาท และขนาด 50 ตารางเมตร ราคา 3 ล้านบาท

2.พื้นที่ธนบุรี เนื้อที่กว่า 23 ไร่ อยู่ตรงข้ามตลาดศาลาน้ำร้อน ห่างรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีส้ม 800 เมตร แต่ยังไม่สรุปเนื่องจากต้องศึกษาเพิ่มเติม เบื้องต้นพัฒนาเป็นอาคารชุดประมาณ 2,100 ห้อง ,3.พื้นที่เชียงราก เนื้อที่กว่า 18 ไร่ ห่างจากสถานีรถไฟเชียงราก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 4.4 กิโลเมตร ห่างมหาวิทยาลัยกรุงเทพ 9 กิโลเมตร เป็นอาคารชุดจำนวน 1,795 ห้อง ราคา 1.34 ล้านบาท/ห้อง และพื้นที่เชียงใหม่ เนื้อที่กว่า 17 ไร่ ใกล้ถนนเจริญเมือง ถนนทุ่งโฮเต็ล ห่างจากมหาวิทยาลัยพายัพ 2.6 กิโลเมตร ห่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 7.5 กิโลเมตร ห่างถนนซูเปอร์ไฮเวย์ 1.3 กิโลเมตร เป็นอาคารชุดจำนวน 720 ยูนิต ราคา 1.5 ล้านบาท

นายสุริยะ กล่าวว่า โครงการ “บ้านเพื่อคนไทย”  เป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยร่วมกับนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน กำหนดราคาผ่อนเริ่มต้นที่ 4,000 บาทต่อเดือน ผ่อน 30 ปี สิทธิ์เช่าชั่วลูกชั่วหลาน 99 ปี โดยไม่ต้องดาวน์ ผู้แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการได้ ต้องมีคุณสมบัติ และเงื่อนไขของผู้ซื้อสิทธิ์ ดังนี้ 1. เป็นผู้มีสัญชาติไทย 2. เป็นผู้บรรลุนิติภาวะ 3. เป็นผู้ที่มีรายได้ ณ วันลงทะเบียนไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน 4. ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่อาจใช้พักอาศัยได้ทุกประเภท 5. ไม่เคยได้สิทธิ์ในโครงการใดของบ้านเพื่อคนไทย

ส่วนขั้นตอนจองสิทธิ์ได้ที่เว็ปไซด์ www.บ้านเพื่อคนไทย.th โดยกรอบรายละเอียด บัตรประชาชน เพื่อให้ประชาชนเข้าจองสิทธิ์ ผ่านช่องทาง 2 วิธี คือ ลงทะเบียนที่สำนักงานแสดงบ้านตัวอย่างที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค.- 24 ม.ค. 2568 และ 2. ลงทะเบียนที่ www.บ้านเพื่อคนไทย.th ตั้งแต่วันที่ 17 ม.ค. 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศปิดการลงทะเบียน

นายสุริยะ บอกต่อว่า กระทรวงคมนาคมได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักประมาณ เพื่อดำเนินโครงการบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 470 ล้านบาท โดยสำนักงบประมาณพิจารณาและนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้กระทรวงคมนาคม โดย SRTA ใช้จ่ายงบกลางปี 2568 ภายในกรอบวงเงิน 166 ล้านบาท สำหรับงบฯส่วนที่เหลือ จำนวน 304 ล้านบาท ให้พิจารณาใช้จ่ายจากเงินรายได้หรือเงินนอกงบฯ ในโอกาสแรก หรือขอรับจัดสรรงบฯ เพิ่มเติมตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป

รายละเอียดวงเงินในการดำเนินงาน ประกอบด้วย 1. ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและจัดทำรายงาน EIA ของโครงการพัฒนาที่อยู่อาศับรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพพื้นที่นำร่อง 3 โครงการ งบประมาณ 300 ล้านบาท ,2.ค่าจ้างศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ค่าจ้างงานออกแบบทางแนวคิด (Conceptual Design) และจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (รายงาน IEE) ของโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพสูงต่อเนื่อง 22 โครงการ วงเงิน 50 ล้านบาท และ3.งบประมาณค่าชดเชยและเยียวยาผู้ดั้บผลกระทบสำหรับโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบพื้นที่สถานีรถไฟที่มีศักยภาพในพื้นที่นำร่อง วงเงิน 120 ล้านบาท

ขณะที่ “นายนณริฏ พิศลยบุตร” นักวิชาการอาวุโสจาก สถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า โครงการบ้านเพื่อคนไทยจะใช้ที่ดินของการรถไฟ ซึ่งเป็นที่ของรัฐมาก่อสร้างที่อยู่อาศัย เพื่อนำมาปล่อยให้ประชาชนเช่าระยะยาว โดยโมเดลดังกล่าวคล้ายกับสิงคโปร์ แต่ท้ายสุด มีข้อวิตกกังวลว่าจะเกิดปัญหาซ้ำซ้อนกับโครงการรัฐที่มีอยู่ นั่นคือ “บ้านเอื้ออาทร” ของการเคหะแห่งชาติ ที่ปัจจุบันมีบ้านเหลือค้างขายค่อนข้างมากหลายแสนยูนิต ดังนั้นจะเห็นว่าสิ่งที่รัฐทำ กับแนวทางของสิงคโปร์ต่างกัน คือ การเคหะของสิงคโปร์ทำแล้ว ประสบความสำเร็จ ประชาชนสนใจซื้อมาก ขณะที่การเคหะฯไทย ทำแล้ว มีบ้านเหลือขายจำนวนมากเป็นความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องยอมรับ หรือให้ทำแล้วก็จะเกิดปัญหาเดียวกัน คือ มีสต๊อกค้างจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม แม้“โครงการบ้านเพื่อคนไทย” ของรัฐบาลจะเป็นแนวคิดที่ดี แต่สิ่งที่อยากเสนอรัฐบาล คือ รัฐไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่ควรจะให้ภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการก็จะมีประสิทธิภาพมากกว่า ด้วยการนำบ้านว่างอยู่จำนวนมากกว่า 1 ล้านหลังทั้งในกทม.และต่างจังหวัดให้เช่า

นโยบายที่จะให้คนไทยมีบ้าน “บ้านเพื่อคนไทย” เป็นนโยบายที่สร้างโอกาสพื้นฐานที่ดี แต่ขอสะกิดเตือน! ระวังจะซ้ำรอย “บ้านเอื้ออาทร” ที่ยังติดมือรัฐบาลอีกอื้อ!!!