Krungthai GLOBAL MARKETS เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.58 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมาที่ระดับ 34.60 บาทต่อดอลลาร์
เมื่อวันที่ 17 ม.ค.68 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 34.52-34.66 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม ขยายตัว +0.4%m/m น้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ นอกจากนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างก็ส่งสัญญาณว่า เฟดยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยได้ในปีนี้ หากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลง จนทำให้เฟดมั่นใจในการบรรลุเป้าหมายด้านเงินเฟ้อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ ตาม Dot Plot ล่าสุด เป็น 68% นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ทะลุระดับ 2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยนอกเหนือจากการปรับตัวลดลงบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ราคาทองคำก็ยังได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หลังทางการอิสราเอลยังคงโจมตีพื้นที่ในฉนวนกาซา หลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hamas ได้ไม่นาน
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากแรงขายหุ้นเทคฯ ใหญ่ โดยเฉพาะ Apple -4.0% ท่ามกลางความกังวลยอดขายในจีน นอกจากนี้ หุ้น Healthcare ขนาดใหญ่ อย่าง United Health ก็ดิ่งลง -6.0% จากรายงานผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงิน หลังสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ต่างรายงานผลประกอบการที่สดใส ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.21%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.98% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ LVMH +9.2% หลังบริษัท Richemont +16.4% (เจ้าของแบรนด์ Cartier) รายงานผลประกอบการที่สดใส นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +4.6% หลังผู้ผลิตชิพรายใหญ่ อย่าง TSMC +3.9% รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งและดีกว่าคาด
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.60% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ เป็น 68% จากรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาดและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ที่ส่งสัญญาณว่าเฟดยังมีแนวโน้มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ หากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้บ้าง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล Trump 20 ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดก็สามารถทยอยซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งระบุว่าเฟดยังมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม และรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ ทำให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวลดลงสู่โซน 109 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 108.8-109.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) สามารถปรับตัวขึ้นสู่ 2,740-2,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน
สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนธันวาคม รวมถึงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 4 เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังทางการจีนได้ทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อนหน้า
ส่วนในฝั่งยุโรป ทางฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีกในเดือนธันวาคม เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับเพิ่มโอกาส BOE ลดดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง หรือ 75bps ในปีนี้ เป็น 56% จากเดิมที่เคยมองว่า BOE อาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง
ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อย่างยอดการเริ่มต้นสร้างบ้าน (Housing Starts) รวมถึงยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนธันวาคม
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน โดยมีแนวรับสำคัญในช่วง 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวต้านจะอยู่ในช่วง 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งในช่วงนี้ เรายังคงเห็นผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ รวมถึงสกุลเงินต่างประเทศ เช่น เงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ ตามแนวโน้มการแข็งค่าของเงินเยนญี่ปุ่น หลังผู้เล่นในตลาดมองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมกราคมนี้) ทำให้เงินบาทอาจยังไม่สามารถอ่อนค่าลงได้อย่างชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ หากประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทอาจยังไม่ได้มีแนวโน้มกลับมาแข็งค่าขึ้นชัดเจน จนกว่าเงินบาท (USDTHB) จะสามารถแข็งค่าหลุดโซนแนวรับถัดไปแถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ในช่วงราว 9.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เพราะหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ออกมาแย่กว่าคาด ก็จะยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจกดดันให้เงินหยวนจีน (CNY) เสี่ยงอ่อนค่าลง กดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะเงินบาทได้ นอกจากนี้ ยังคงต้องติดตามทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ที่ยังคงสร้างความผันผวนและแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทอยู่ในช่วงนี้
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.45-34.70 บาท/ดอลลาร์
#กรุงไทย #เงินตรา #บาทแข็ง #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์